รู้ว่าผิด แต่ไม่กลัวผิด สัญญาณวิกฤตศีลธรรมไทย

รู้ว่าผิด แต่ไม่กลัวผิด สัญญาณวิกฤตศีลธรรมไทย

“รู้ว่าผิด...แต่ไม่สน” เมื่อศีลธรรมในสังคมไทยกำลังอ่อนแรง

ในช่วงเวลาที่ข่าวทุจริต การฝ่าฝืนกฎ การฉวยโอกาส หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมปรากฏให้เห็นแทบทุกวัน คำถามสำคัญที่ผุดขึ้นมาในใจใครหลายคนคือ ทำไมพฤติกรรมเหล่านี้ยังคงเกิดซ้ำอย่างไม่รู้จบ ทั้งที่ผู้กระทำย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่ทำนั้น “ผิด”

ปรากฏการณ์ที่คนในสังคม “รู้ว่าผิด...แต่ไม่สน” กลายเป็นภาพคุ้นตา ไม่ใช่เพราะคนไทยไม่รู้ความถูกผิด แต่เพราะมีบางอย่างในโครงสร้างสังคมทำให้ "ความรู้" กับ "ความรู้สึกผิด" ไม่ได้ไปด้วยกันอย่างที่ควรจะเป็น

เมื่อความดีไม่จำเป็นต้องมาก่อนความอยู่รอด

ในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจเคยเห็นการแซงคิว ฝ่าไฟแดง หรือปลอมเอกสาร โดยที่ผู้กระทำไม่ได้รู้สึกผิดหรือรู้สึกละอายแต่อย่างใด ความเคยชินกับการเลี่ยงกฎ การโกงเล็กๆ ที่ดูไม่กระทบใคร ไปจนถึงพฤติกรรมขนาดใหญ่ระดับทุจริตเงินหลวง กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการ “เอาตัวรอด” ที่ได้รับการยอมรับโดยไม่ตั้งคำถาม

เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป จะพบว่าโครงสร้างของสังคมไทยในหลายด้านไม่ได้ส่งเสริมให้ศีลธรรมงอกงามอย่างยั่งยืน ความสำเร็จในชีวิตมักถูกนิยามผ่านความรวดเร็ว ผลลัพธ์ และผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่ากระบวนการที่โปร่งใสหรือถูกต้อง ขณะเดียวกัน กลไกของรัฐหรือสังคมในการลงโทษความผิดก็ยังไม่เฉียบขาดพอที่จะยับยั้งพฤติกรรมเหล่านี้ได้จริง

สรุปข่าว

ปรากฏการณ์ “รู้ว่าผิด...แต่ไม่สน” สะท้อนการเสื่อมถอยของศีลธรรมในระดับโครงสร้าง เมื่อสังคมไม่ลงโทษคนผิดอย่างจริงจัง และไม่ยกย่องคนดี ความถูกต้องจึงไม่ใช่เงื่อนไขของความสำเร็จอีกต่อไป

“รู้ว่าผิด...แต่ไม่สน” เมื่อศีลธรรมในสังคมไทยกำลังอ่อนแรง

ในช่วงเวลาที่ข่าวทุจริต การฝ่าฝืนกฎ การฉวยโอกาส หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมปรากฏให้เห็นแทบทุกวัน คำถามสำคัญที่ผุดขึ้นมาในใจใครหลายคนคือ ทำไมพฤติกรรมเหล่านี้ยังคงเกิดซ้ำอย่างไม่รู้จบ ทั้งที่ผู้กระทำย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่ทำนั้น “ผิด”

ปรากฏการณ์ที่คนในสังคม “รู้ว่าผิด...แต่ไม่สน” กลายเป็นภาพคุ้นตา ไม่ใช่เพราะคนไทยไม่รู้ความถูกผิด แต่เพราะมีบางอย่างในโครงสร้างสังคมทำให้ "ความรู้" กับ "ความรู้สึกผิด" ไม่ได้ไปด้วยกันอย่างที่ควรจะเป็น

เมื่อความดีไม่จำเป็นต้องมาก่อนความอยู่รอด

ในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจเคยเห็นการแซงคิว ฝ่าไฟแดง หรือปลอมเอกสาร โดยที่ผู้กระทำไม่ได้รู้สึกผิดหรือรู้สึกละอายแต่อย่างใด ความเคยชินกับการเลี่ยงกฎ การโกงเล็กๆ ที่ดูไม่กระทบใคร ไปจนถึงพฤติกรรมขนาดใหญ่ระดับทุจริตเงินหลวง กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการ “เอาตัวรอด” ที่ได้รับการยอมรับโดยไม่ตั้งคำถาม

เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป จะพบว่าโครงสร้างของสังคมไทยในหลายด้านไม่ได้ส่งเสริมให้ศีลธรรมงอกงามอย่างยั่งยืน ความสำเร็จในชีวิตมักถูกนิยามผ่านความรวดเร็ว ผลลัพธ์ และผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่ากระบวนการที่โปร่งใสหรือถูกต้อง ขณะเดียวกัน กลไกของรัฐหรือสังคมในการลงโทษความผิดก็ยังไม่เฉียบขาดพอที่จะยับยั้งพฤติกรรมเหล่านี้ได้จริง

การศึกษาและการอบรมที่เน้นแค่ “รู้อะไร” แต่ไม่เน้น “รู้สึกอย่างไร”

ในหลายครอบครัว การปลูกฝังเรื่องศีลธรรมกลายเป็นเรื่องรองเมื่อเทียบกับการติวสอบหรือเร่งผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา โรงเรียนจำนวนไม่น้อยยังใช้การสอนศีลธรรมในลักษณะของการท่องจำหรือทำตามแบบฟอร์ม มากกว่าการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้คิด วิเคราะห์ และเรียนรู้จากสถานการณ์จริง ผลที่ตามมาคือ เด็กอาจ "รู้" ว่าการโกงผิด แต่ไม่ได้ "รู้สึก" ว่าไม่ควรทำ เพราะไม่เคยถูกกระตุ้นให้เข้าใจผลกระทบหรือฝึกการตัดสินใจที่มีจริยธรรม

นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ในสังคมจำนวนมากก็ไม่สามารถเป็นแบบอย่างได้อย่างแท้จริง เมื่อบุคคลในตำแหน่งสำคัญแสดงพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบหรือหลบเลี่ยงความผิดโดยไม่มีผลตามมา ความคิดแบบ “เขายังทำได้ เราก็ทำบ้าง” จึงแพร่กระจายอย่างเงียบๆ และกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ไม่มีใครตั้งคำถาม

วัฒนธรรมลงโทษซ้ำ ทำให้คนไม่อยากยอมรับผิด

แม้ในบางกรณีที่ผู้กระทำผิดยอมออกมายอมรับ ความพร้อมของสังคมในการให้อภัยหรือเปิดทางให้ปรับปรุงตนเองกลับมีน้อยมาก คนที่เคยทำผิดมักถูกตราหน้า ถูกตัดสินซ้ำ และไม่ได้รับโอกาสในการฟื้นฟูชื่อเสียงหรือกลับเข้าสู่สังคมในฐานะใหม่ ปรากฏการณ์นี้ทำให้คนจำนวนมากเลือกที่จะปฏิเสธ ปกปิด หรือทำเป็นไม่รู้ แทนที่จะยอมรับและแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา

วัฒนธรรมของการซ้ำเติมผู้ผิดในสังคมไทยยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางการพัฒนา “จิตสำนึก” อย่างแท้จริง เพราะหากการยอมรับผิดกลายเป็นการเปิดทางให้ถูกประณามอย่างไม่สิ้นสุด คนย่อมเลือกที่จะไม่รู้สึกอะไรเลยจะง่ายกว่า

พื้นที่ของคนดีแคบลง คนผิดจึงกล้าใช้พื้นที่มากขึ้น

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนดีไม่กล้าแสดงออก หรือคนทำผิดไม่รู้สึกผิด คือการขาดแรงจูงใจในการทำความดี เมื่อความดีไม่มีที่ยืน หรือไม่ได้รับการยกย่อง คนจำนวนมากจึงหันไปเลือกทางที่สะดวก รวดเร็ว และให้ผลตอบแทนทันที แม้จะต้องแลกกับจริยธรรมที่เบาบางลงก็ตาม

ในขณะเดียวกัน ระบบยุติธรรมและกลไกลงโทษที่ไม่สม่ำเสมอ ไม่เด็ดขาด หรือมีช่องว่างให้คนมีอำนาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ ก็ยิ่งทำให้สังคมไทยตกอยู่ในภาวะ “ไม่มีอะไรน่ากลัว” ต่อการทำผิด เมื่อความถูกต้องไม่ใช่เงื่อนไขของความสำเร็จอีกต่อไป สังคมก็ย่อมเอื้อให้คนเลือกทำผิดอย่างไม่รู้สึกผิด

เมื่อศีลธรรมกลายเป็นของเก่า สังคมต้องเลือกว่าจะเก็บไว้หรือทิ้งไป

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงปัญหาทางพฤติกรรมของปัจเจก แต่เป็นสัญญาณของความเสื่อมถอยในระดับโครงสร้าง ความรู้ผิดชอบชั่วดีที่เคยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ กำลังถูกแทนที่ด้วยการคิดแบบสั้นๆ ว่า “แค่ไม่โดนจับได้ ก็ไม่เป็นไร” ซึ่งเป็นความคิดที่อันตรายต่อความไว้เนื้อเชื่อใจในสังคม

ในสภาพเช่นนี้ การฟื้นคืนศีลธรรมและจิตสำนึกจึงต้องเริ่มจากการยกเครื่องใหม่อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ปรับปรุงระบบการสอนในห้องเรียน แต่ต้องรวมถึงการยกระดับบทบาทของผู้ใหญ่ในทุกวงการ การใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนสามารถยอมรับผิดและปรับปรุงตนเองได้โดยไม่ถูกตัดสินตลอดชีวิต

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่หากสังคมไทยยังปล่อยให้วัฒนธรรม “รู้ว่าผิด...แต่ไม่สน” เติบโตอย่างไร้ทิศทาง วันหนึ่งเราอาจไม่มีเหลืออะไรไว้ให้ใช้ร่วมกันได้อีก แม้แต่คำว่า “ไว้ใจ”

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

บรรณาธิการออนไลน์