รู้จัก ม.144 จุดเปลี่ยนชีวิตการเมือง “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน”

รู้จัก ม.144 จุดเปลี่ยนชีวิตการเมือง “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน”

มาตรา 144 กฎเหล็ก “ห้ามแปรงบฯ เอื้อประโยชน์ส่วนตน”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติสำคัญที่มีขึ้นเพื่อ “ป้องกันการแทรกแซงงบประมาณโดยนักการเมือง” อันอาจนำไปสู่การใช้เงินหลวงเพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่มหรือคะแนนนิยมส่วนบุคคล

เนื้อหาหลักของมาตรานี้ระบุว่า

“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ต้องไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปมีส่วนได้เสีย ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการจัดทำงบประมาณหรือแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปี หากฝ่าฝืน ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง”

ซึ่งการกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรงในลักษณะนี้ ไม่เพียงเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ยังมีผลทางกฎหมายในทันที กล่าวคือ บุคคลนั้นจะถูกพ้นจากตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยมาตรฐานจริยธรรม พ.ศ. 2561

คดี “พิเชษฐ์” การแปรงบฯ ที่เกินขอบเขตหน้าที่

จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 คดีของ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย มีสาระสำคัญคือ เขาใช้สถานะในกรรมาธิการงบประมาณ แปรญัตติงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้นำไปสนับสนุนโครงการในพื้นที่เขตเลือกตั้งของตน

การกระทำดังกล่าวมีทั้งในปีงบประมาณ 2568 และ 2569 ครอบคลุมอย่างน้อย 3 โครงการ อาทิ โครงการฝึกอบรมในพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า และอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งตรงกับฐานเสียงของตนโดยตรง

ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า พิเชษฐ์ “มีส่วนได้เสียโดยตรง” ในการแปรญัตติงบประมาณรายจ่าย เพื่อให้เกิดกิจกรรมในพื้นที่ตนเอง ถือเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่เอื้อประโยชน์ส่วนตัว และเข้าข่าย “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

สรุปข่าว

พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาและ ส.ส. เชียงราย หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าใช้ตำแหน่งแปรญัตติงบฯ เอื้อพื้นที่ตนเอง ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ผิดจริยธรรมร้ายแรง ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี

มาตรา 144 กฎเหล็ก “ห้ามแปรงบฯ เอื้อประโยชน์ส่วนตน”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติสำคัญที่มีขึ้นเพื่อ “ป้องกันการแทรกแซงงบประมาณโดยนักการเมือง” อันอาจนำไปสู่การใช้เงินหลวงเพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่มหรือคะแนนนิยมส่วนบุคคล

เนื้อหาหลักของมาตรานี้ระบุว่า

“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ต้องไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปมีส่วนได้เสีย ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการจัดทำงบประมาณหรือแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปี หากฝ่าฝืน ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง”

ซึ่งการกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรงในลักษณะนี้ ไม่เพียงเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ยังมีผลทางกฎหมายในทันที กล่าวคือ บุคคลนั้นจะถูกพ้นจากตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยมาตรฐานจริยธรรม พ.ศ. 2561

คดี “พิเชษฐ์” การแปรงบฯ ที่เกินขอบเขตหน้าที่

จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 คดีของ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย มีสาระสำคัญคือ เขาใช้สถานะในกรรมาธิการงบประมาณ แปรญัตติงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้นำไปสนับสนุนโครงการในพื้นที่เขตเลือกตั้งของตน

การกระทำดังกล่าวมีทั้งในปีงบประมาณ 2568 และ 2569 ครอบคลุมอย่างน้อย 3 โครงการ อาทิ โครงการฝึกอบรมในพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า และอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งตรงกับฐานเสียงของตนโดยตรง

ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า พิเชษฐ์ “มีส่วนได้เสียโดยตรง” ในการแปรญัตติงบประมาณรายจ่าย เพื่อให้เกิดกิจกรรมในพื้นที่ตนเอง ถือเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่เอื้อประโยชน์ส่วนตัว และเข้าข่าย “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

ผลสะเทือน หลุดตำแหน่ง–หมดสิทธิ 10 ปี

ศาลมีมติ 6 ต่อ 3 วินิจฉัยให้ พิเชษฐ์พ้นจากตำแหน่งทั้งรองประธานสภาฯ และ ส.ส. พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งถือเป็นบทลงโทษสูงสุดในหมวดจริยธรรม

นอกจากนี้ ยังมีผลทางการเมืองในระดับโครงสร้าง โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งต้องเตรียมรับมือกับการเลือกตั้งซ่อมใน จ.เชียงราย และความเป็นไปได้ที่สมดุลเสียงในสภาฯ จะเปลี่ยนแปลง กระทบต่อเสถียรภาพของฝ่ายรัฐบาลในระยะสั้น

จุดเปลี่ยนที่มากกว่าความผิดพลาดส่วนบุคคล

แม้ในสายตานักการเมืองบางคน การแปรญัตติงบประมาณเพื่อกิจกรรมในพื้นที่อาจดูเป็นเรื่อง “ธรรมดา” หรือ “ทำเพื่อประชาชน” แต่ในทางกฎหมาย การกระทำดังกล่าวกลายเป็น “เส้นบางๆ” ที่ไม่ควรข้าม

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้ยกระดับมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้น้ำหนักกับ เจตนา และ ผลลัพธ์ของการใช้อำนาจ มากขึ้น ไม่ใช่แค่พฤติกรรมที่มีลักษณะคอร์รัปชันแบบตรงไปตรงมา

กรณีของพิเชษฐ์จึงกลายเป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า “ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์” หรือ “ความเคยชินทางการเมือง” ไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการฝ่าฝืนหลักจริยธรรมทางกฎหมายได้อีกต่อไป

จากนักการเมืองมากประสบการณ์ สู่บทเรียนของระบบ

“พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” เป็นนักการเมืองมากประสบการณ์ เคยเป็น ส.ส. ถึง 5 สมัย ผ่านทั้งพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย เคยได้รับความเชื่อมั่นให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในฝ่ายนิติบัญญัติ

แต่ในท้ายที่สุด ชะตาทางการเมืองของเขาต้องสะดุดลงจากการกระทำที่ละเลยเจตนารมณ์ของกฎหมาย แม้จะไม่ใช่คดีคอร์รัปชันในความหมายคลาสสิก แต่ก็เป็น “คดีจริยธรรมเชิงโครงสร้าง” ที่ตัดสินบนหลักความโปร่งใสและผลประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก

บทสรุปที่มากกว่าการลงโทษ

สิ่งที่สังคมควรเรียนรู้จากกรณีนี้ ไม่ใช่เพียงการพิจารณาว่าพิเชษฐ์ผิดหรือไม่ แต่คือการตระหนักถึงหลักการเบื้องหลังของมาตรา 144 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อป้องกัน “การใช้เงินแผ่นดินเพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเมือง”

นี่คือเครื่องเตือนใจสำหรับนักการเมืองทุกคน ว่าแม้จะมีความตั้งใจดี แต่หากข้ามเส้นที่รัฐธรรมนูญขีดไว้ ก็อาจนำไปสู่จุดจบทางการเมืองได้อย่างไม่คาดคิด และในอีกทางหนึ่ง นี่คือบทเรียนสำหรับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า “กฎหมายที่ดูเป็นเทคนิค” อาจเป็นตัวชี้ชะตาทางการเมืองได้อย่างจริงจัง

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : พรรคเพื่อไทย

บรรณาธิการออนไลน์