สิทธิผู้บริโภคบนจานและขวดยา รับมือโฆษณาหลอกยุคสุขภาพบูม

สิทธิผู้บริโภคบนจานและขวดยา รับมือโฆษณาหลอกยุคสุขภาพบูม

กระแสสุขภาพที่พุ่งแรงพร้อมความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่

ในยุคที่เทรนด์สุขภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนไทย การดูแลตัวเองไม่ได้หยุดอยู่แค่การออกกำลังกายหรือเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่ขยายไปสู่การบริโภคอาหารเสริม วิตามิน ยาลดน้ำหนัก และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพหลากหลายรูปแบบ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่ามูลค่าตลาดอาหารเสริมในปี 2567 สูงกว่า 240,000 ล้านบาท พร้อมอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7–10 ต่อปี สะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและศักยภาพทางธุรกิจที่มหาศาล

ทว่าการเติบโตดังกล่าวกลับมาพร้อมเงามืดของการแข่งขันทางการตลาดที่รุนแรงขึ้น โฆษณาหลายชิ้นเลือกใช้ข้อความเกินจริง ภาพลักษณ์ชวนเชื่อ หรือแม้แต่ข้อมูลบิดเบือน เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการเจาะกลุ่มผู้บริโภควัยทำงานและผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อสูงและมักแสวงหาทางลัดเพื่อสุขภาพที่ดี

ท่ามกลางความเฟื่องฟูของตลาดสุขภาพ ภัยจากโฆษณาหลอกลวงและสินค้ามาตรฐานต่ำจึงไม่เพียงคุกคามสิทธิของผู้บริโภค แต่ยังสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างแท้จริง บทความนี้จะพาไปสำรวจทั้งตัวเลข ความจริงที่ซ่อนอยู่ ช่องโหว่ทางกฎหมาย และแนวทางรับมือ เพื่อให้ “สิทธิผู้บริโภคบนจานและขวดยา” กลายเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแรงในยุคสุขภาพบูม

ตัวเลขที่ชี้ให้เห็นปัญหา

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รายงานว่าในปี 2567 พบการโฆษณาผิดกฎหมายมากกว่า 5,800 รายการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากปีก่อน กลุ่มที่ตรวจพบมากที่สุด ได้แก่ ยาลดน้ำหนักปนเปื้อนสารไซบูทรามีน อาหารเสริมที่อ้างว่ารักษาโรคได้ และผลิตภัณฑ์ดีท็อกซ์ที่มีสารระบายเกินมาตรฐาน ซึ่งทั้งหมดนี้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้บริโภคอย่างชัดเจน

ผลวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเมินว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพและโฆษณาหลอกลวงสูงกว่า 1,500 ล้านบาทต่อปี ทั้งจากค่าเสียโอกาสและค่ารักษาพยาบาล ขณะเดียวกัน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพพบว่า ร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่แพ้อาหารเสริมหรือยา จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉิน

ด้านการซื้อขายออนไลน์ อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุว่า มีผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อคดีหลอกลวงออนไลน์มากที่สุดในหมวดซื้อขายสินค้าออนไลน์ รวม 296,042 เรื่อง (ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1 มีนาคม 2565 – 31 กรกฎาคม 2567) ขณะที่ สพธอ. รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาซื้อขายสินค้าออนไลน์กว่า 5,300 เรื่อง และสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนอีก 258 เรื่อง โดยกว่าร้อยละ 75 เกิดขึ้นบนเฟซบุ๊ก รองลงมาคือแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ (E–Marketplace) เช่น ลาซาด้า และช้อปปี้

ปัญหาที่ผู้บริโภคพบได้แก่ ไม่ได้รับสินค้า ได้สินค้าที่ไม่ตรงตามที่สั่ง หรือสินค้าชำรุด เมื่อเกิดปัญหามักไม่สามารถติดตามผู้ขายได้ เนื่องจากแพลตฟอร์มไม่แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ขาย ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ นอกจากนี้ยังพบสินค้าที่ผิดกฎหมาย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้าและปลั๊กไฟที่ไม่มีเครื่องหมายมาตรฐาน (มอก.) รวมทั้งสินค้าบางประเภทที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายกำหนด ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ดำเนินคดี เนื่องจากมูลค่าความเสียหายต่ำและขั้นตอนยุ่งยาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจบางครั้งไม่รับแจ้งความ

สภาผู้บริโภคจึงได้ติดตามสถานการณ์และจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีข้อเสนอสำคัญ เช่น มาตรการ “หน่วงเงินก่อนโอน” (Delayed Transaction) สำหรับยอดเงินเกิน 10,000 บาท ให้ธนาคารชะลอการโอนไว้ 72 ชั่วโมง เพื่อเปิดโอกาสให้ตรวจสอบก่อนเงินถูกโอนไปยังบัญชีม้า พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายอื่น ๆ

ข้อเสนอถึงหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่

  • ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกมาตรการยืนยันตัวตนผู้ขายทุกรายบนแพลตฟอร์มออนไลน์
  • ห้ามโฆษณาหรือเปิดร้านขายสินค้าบนสื่อสังคมออนไลน์โดยตรง
  • บังคับใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 15 และ 26 ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ติดตามผู้ขายได้ทันการณ์

ข้อเสนอถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่

  • จัดตั้งหน่วยเฝ้าระวังสินค้าอันตรายและสินค้าต้องห้าม พร้อมควบคุมการโฆษณาผิดกฎหมาย
  • บังคับให้ผู้ขายแสดงตราสัญลักษณ์มาตรฐานคุณภาพสินค้าตามที่รัฐกำหนด
  • ตรวจสอบสินค้าที่รัฐประกาศห้ามจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง

ข้อกฎหมายและช่องโหว่ที่เปิดทางให้การหลอกลวงดำเนินต่อ

แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายหลัก 3 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 พร้อมฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดทั้งข้อห้ามและบทลงโทษต่อผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้โฆษณาสินค้า แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าบทลงโทษจำนวนมากยังต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ผู้กระทำผิดได้รับ

ตัวอย่างเช่น โทษปรับเพียงหลักหมื่นบาท หรือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี สำหรับผู้ที่โฆษณาเกินจริงหรือจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ถือเป็นสัดส่วนที่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจที่สร้างรายได้หลักร้อยล้านบาทต่อปี ทำให้ผู้กระทำผิดจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะ “เสี่ยง” เพราะค่าปรับถูกมองว่าเป็นเพียงต้นทุนทางธุรกิจ มากกว่าจะเป็นการลงโทษที่ยับยั้งได้จริง

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการบังคับใช้กฎหมายในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการโฆษณาผิดกฎหมายผ่านโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ข้ามชาติ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักมีสำนักงานใหญ่และเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ต่างประเทศ การควบคุมและสั่งลบเนื้อหาจึงต้องผ่านขั้นตอนประสานงานระหว่างประเทศ ซึ่งใช้เวลานานและมีข้อจำกัดด้านเขตอำนาจ ทำให้โฆษณาหลอกลวงสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นวงกว้างก่อนที่หน่วยงานรัฐจะเข้ามาดำเนินการ

อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือการขาดระบบติดตามและบังคับใช้ที่รวดเร็วและบูรณาการ ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. สคบ. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำงานในขอบเขตหน้าที่ของตน แต่ยังไม่มีฐานข้อมูลกลางและกลไกแจ้งเตือนทันที ส่งผลให้บางกรณีผู้ขายสามารถเปลี่ยนชื่อเพจหรือสร้างบัญชีใหม่ได้ในเวลาอันสั้นหลังจากถูกปิดกั้น

สรุปข่าว

ตลาดสุขภาพไทยเติบโตต่อเนื่อง แต่มาพร้อมโฆษณาหลอกและสินค้ามาตรฐานต่ำ กฎหมายยังมีโทษต่ำและบังคับใช้ยาก องค์กรผู้บริโภคเสนอเพิ่มโทษ เข้มกฎแพลตฟอร์ม และเชื่อมฐานข้อมูล พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนตรวจสอบก่อนซื้อและแจ้งเบาะแส

กระแสสุขภาพที่พุ่งแรงพร้อมความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่

ในยุคที่เทรนด์สุขภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนไทย การดูแลตัวเองไม่ได้หยุดอยู่แค่การออกกำลังกายหรือเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่ขยายไปสู่การบริโภคอาหารเสริม วิตามิน ยาลดน้ำหนัก และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพหลากหลายรูปแบบ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่ามูลค่าตลาดอาหารเสริมในปี 2567 สูงกว่า 240,000 ล้านบาท พร้อมอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7–10 ต่อปี สะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและศักยภาพทางธุรกิจที่มหาศาล

ทว่าการเติบโตดังกล่าวกลับมาพร้อมเงามืดของการแข่งขันทางการตลาดที่รุนแรงขึ้น โฆษณาหลายชิ้นเลือกใช้ข้อความเกินจริง ภาพลักษณ์ชวนเชื่อ หรือแม้แต่ข้อมูลบิดเบือน เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการเจาะกลุ่มผู้บริโภควัยทำงานและผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อสูงและมักแสวงหาทางลัดเพื่อสุขภาพที่ดี

ท่ามกลางความเฟื่องฟูของตลาดสุขภาพ ภัยจากโฆษณาหลอกลวงและสินค้ามาตรฐานต่ำจึงไม่เพียงคุกคามสิทธิของผู้บริโภค แต่ยังสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างแท้จริง บทความนี้จะพาไปสำรวจทั้งตัวเลข ความจริงที่ซ่อนอยู่ ช่องโหว่ทางกฎหมาย และแนวทางรับมือ เพื่อให้ “สิทธิผู้บริโภคบนจานและขวดยา” กลายเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแรงในยุคสุขภาพบูม

ตัวเลขที่ชี้ให้เห็นปัญหา

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รายงานว่าในปี 2567 พบการโฆษณาผิดกฎหมายมากกว่า 5,800 รายการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากปีก่อน กลุ่มที่ตรวจพบมากที่สุด ได้แก่ ยาลดน้ำหนักปนเปื้อนสารไซบูทรามีน อาหารเสริมที่อ้างว่ารักษาโรคได้ และผลิตภัณฑ์ดีท็อกซ์ที่มีสารระบายเกินมาตรฐาน ซึ่งทั้งหมดนี้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้บริโภคอย่างชัดเจน

ผลวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเมินว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพและโฆษณาหลอกลวงสูงกว่า 1,500 ล้านบาทต่อปี ทั้งจากค่าเสียโอกาสและค่ารักษาพยาบาล ขณะเดียวกัน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพพบว่า ร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่แพ้อาหารเสริมหรือยา จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉิน

ด้านการซื้อขายออนไลน์ อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุว่า มีผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อคดีหลอกลวงออนไลน์มากที่สุดในหมวดซื้อขายสินค้าออนไลน์ รวม 296,042 เรื่อง (ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1 มีนาคม 2565 – 31 กรกฎาคม 2567) ขณะที่ สพธอ. รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาซื้อขายสินค้าออนไลน์กว่า 5,300 เรื่อง และสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนอีก 258 เรื่อง โดยกว่าร้อยละ 75 เกิดขึ้นบนเฟซบุ๊ก รองลงมาคือแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ (E–Marketplace) เช่น ลาซาด้า และช้อปปี้

ปัญหาที่ผู้บริโภคพบได้แก่ ไม่ได้รับสินค้า ได้สินค้าที่ไม่ตรงตามที่สั่ง หรือสินค้าชำรุด เมื่อเกิดปัญหามักไม่สามารถติดตามผู้ขายได้ เนื่องจากแพลตฟอร์มไม่แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ขาย ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ นอกจากนี้ยังพบสินค้าที่ผิดกฎหมาย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้าและปลั๊กไฟที่ไม่มีเครื่องหมายมาตรฐาน (มอก.) รวมทั้งสินค้าบางประเภทที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายกำหนด ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ดำเนินคดี เนื่องจากมูลค่าความเสียหายต่ำและขั้นตอนยุ่งยาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจบางครั้งไม่รับแจ้งความ

สภาผู้บริโภคจึงได้ติดตามสถานการณ์และจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีข้อเสนอสำคัญ เช่น มาตรการ “หน่วงเงินก่อนโอน” (Delayed Transaction) สำหรับยอดเงินเกิน 10,000 บาท ให้ธนาคารชะลอการโอนไว้ 72 ชั่วโมง เพื่อเปิดโอกาสให้ตรวจสอบก่อนเงินถูกโอนไปยังบัญชีม้า พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายอื่น ๆ

ข้อเสนอถึงหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่

  • ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกมาตรการยืนยันตัวตนผู้ขายทุกรายบนแพลตฟอร์มออนไลน์
  • ห้ามโฆษณาหรือเปิดร้านขายสินค้าบนสื่อสังคมออนไลน์โดยตรง
  • บังคับใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 15 และ 26 ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ติดตามผู้ขายได้ทันการณ์

ข้อเสนอถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่

  • จัดตั้งหน่วยเฝ้าระวังสินค้าอันตรายและสินค้าต้องห้าม พร้อมควบคุมการโฆษณาผิดกฎหมาย
  • บังคับให้ผู้ขายแสดงตราสัญลักษณ์มาตรฐานคุณภาพสินค้าตามที่รัฐกำหนด
  • ตรวจสอบสินค้าที่รัฐประกาศห้ามจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง

ข้อกฎหมายและช่องโหว่ที่เปิดทางให้การหลอกลวงดำเนินต่อ

แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายหลัก 3 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 พร้อมฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดทั้งข้อห้ามและบทลงโทษต่อผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้โฆษณาสินค้า แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าบทลงโทษจำนวนมากยังต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ผู้กระทำผิดได้รับ

ตัวอย่างเช่น โทษปรับเพียงหลักหมื่นบาท หรือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี สำหรับผู้ที่โฆษณาเกินจริงหรือจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ถือเป็นสัดส่วนที่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจที่สร้างรายได้หลักร้อยล้านบาทต่อปี ทำให้ผู้กระทำผิดจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะ “เสี่ยง” เพราะค่าปรับถูกมองว่าเป็นเพียงต้นทุนทางธุรกิจ มากกว่าจะเป็นการลงโทษที่ยับยั้งได้จริง

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการบังคับใช้กฎหมายในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการโฆษณาผิดกฎหมายผ่านโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ข้ามชาติ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักมีสำนักงานใหญ่และเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ต่างประเทศ การควบคุมและสั่งลบเนื้อหาจึงต้องผ่านขั้นตอนประสานงานระหว่างประเทศ ซึ่งใช้เวลานานและมีข้อจำกัดด้านเขตอำนาจ ทำให้โฆษณาหลอกลวงสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นวงกว้างก่อนที่หน่วยงานรัฐจะเข้ามาดำเนินการ

อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือการขาดระบบติดตามและบังคับใช้ที่รวดเร็วและบูรณาการ ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. สคบ. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำงานในขอบเขตหน้าที่ของตน แต่ยังไม่มีฐานข้อมูลกลางและกลไกแจ้งเตือนทันที ส่งผลให้บางกรณีผู้ขายสามารถเปลี่ยนชื่อเพจหรือสร้างบัญชีใหม่ได้ในเวลาอันสั้นหลังจากถูกปิดกั้น

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เพิ่มความเสี่ยง

ผลสำรวจ Thai Health Watch ปี 2567 สะท้อนว่าช่องทางออนไลน์กลายเป็นพื้นที่สำคัญที่ผู้ขายสามารถเข้าถึงผู้ซื้อได้โดยตรง โดย ร้อยละ 72 ของผู้บริโภคได้รับข้อมูลสินค้าอาหารเสริมผ่านโซเชียลมีเดีย และ ร้อยละ 46 ซื้อสินค้าตามรีวิวของอินฟลูเอนเซอร์โดยไม่ตรวจสอบเลข อย. ขณะที่มีเพียง ร้อยละ 27 ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานรัฐก่อนตัดสินใจซื้อ

ช่องโหว่นี้ทำให้การโฆษณาเกินจริงและการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ผ่านการอนุญาตแพร่ได้อย่างรวดเร็ว งานศึกษาปี 2024 พบว่า กว่า 85% ของเพจขายอาหารเสริมบนอีมาร์เก็ตเพลสไทย มีข้อความหรือโฆษณาที่ผิดกฎหมาย เช่น อ้างสรรพคุณเกินจริง ไม่แสดงเลข อย. หรือปลอมแปลงข้อมูลผู้ผลิต ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางตลาดอาหารเสริมไทยที่มีมูลค่าราว 82,900 ล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่องจากเทรนด์สุขภาพและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว อย. จึงร่วมมือกับแพลตฟอร์มใหญ่ เช่น Lazada และ Shopee ลบสินค้าที่ไม่ผ่านอนุญาตกว่า 9,454 รายการในปีเดียว พร้อมเตรียมเชื่อมต่อฐานข้อมูลผ่านระบบ API เพื่อให้ตรวจสอบและสั่งระงับได้ทันต่อสถานการณ์ ควบคู่กับการรณรงค์ให้ผู้บริโภคอ่านฉลาก ตรวจเลข อย. ระวังโฆษณาเกินจริง และแจ้งเบาะแส เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันดิจิทัล” และลดความเปราะบางในตลาดออนไลน์

บทเรียนจากต่างประเทศที่ไทยควรศึกษา

หลายประเทศได้พัฒนากลไกการคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ สหภาพยุโรปมีระบบ Safety Gate ที่อัปเดตรายการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยทุกสัปดาห์และส่งต่อข้อมูลไปยังผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว สหรัฐอเมริกาให้อำนาจองค์การอาหารและยาสั่งเรียกคืนสินค้าที่ไม่ปลอดภัยได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล ส่วนเกาหลีใต้กำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องรับผิดชอบร่วม หากมีการขายสินค้าผิดกฎหมายผ่านระบบของตน


แนวทางแก้ปัญหาเชิงระบบ

มีผู้เชี่ยวชาญและองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคหลายหน่วยงานออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปรับปรุงบทลงโทษด้านโฆษณาอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพให้เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าตลาดสูงแต่โทษทางกฎหมายยังต่ำเกินไป งานวิจัยกฎหมายของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชชี้ว่า โทษจำคุก 2–3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาทตาม พ.ร.บ.อาหาร ถือว่าเบาเกินไปเมื่อเทียบกับความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท จึงเสนอให้เพิ่มโทษปรับให้รุนแรงขึ้น และใช้มาตรการเพิ่มโทษเป็นสองเท่าในกรณีทำผิดซ้ำ เพื่อป้องกันการละเมิดซ้ำซาก

สภาผู้บริโภคร่วมกับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้แพลตฟอร์มออนไลน์แสดงเลข อย. ที่ตรวจสอบได้จริง พร้อมผลักดันให้กระทรวงดิจิทัลและ อย. เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ API กับแพลตฟอร์มออนไลน์ และใช้เทคโนโลยี AI สกัดโฆษณาหลอกลวงหรือโอ้อวดเกินจริง โดยย้ำว่าต้องเพิ่มอำนาจปรับและดำเนินคดีกับแพลตฟอร์ม หากปล่อยให้มีสินค้าที่ผิดกฎหมายจำหน่ายบนระบบ

ด้านแพทยสภาและคณะกรรมาธิการสาธารณสุขของรัฐสภาได้ออกข้อเสนอเกี่ยวกับบทลงโทษเชิงจริยธรรมสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงแนวทางจัดการแพลตฟอร์มที่ละเลยการกำกับดูแลโฆษณาเกินจริง โดยระบุว่าหากหน่วยงานกำกับไม่ดำเนินการ อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และต้องพิจารณาโทษตามกฎหมายคอมพิวเตอร์ร่วมด้วย ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและปิดช่องโหว่การหลีกเลี่ยงความรับผิดในตลาดอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพออนไลน์


บทบาทของประชาชนในฐานะกำแพงป้องกันด่านแรก

แม้ภาครัฐและผู้ประกอบการที่สุจริตจะเป็นกลไกหลักในการควบคุมตลาดสุขภาพให้ปลอดภัย แต่ในความเป็นจริง ผู้บริโภคเองคือ “ด่านแรก” ที่จะหยุดยั้งการแพร่กระจายของโฆษณาหลอกลวงและสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานได้อย่างทันท่วงที การมีวินัยในการตรวจสอบข้อมูลก่อนซื้อ เช่น ตรวจสอบเลข อย. จากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันทางการ เปรียบเทียบข้อมูลสรรพคุณกับแหล่งที่น่าเชื่อถือ และอ่านรีวิวอย่างมีวิจารณญาณ ถือเป็นก้าวแรกในการลดความเสี่ยง

นอกจากนี้ การเก็บหลักฐานโฆษณาผิดกฎหมาย ทั้งภาพ วิดีโอ หรือข้อความ และส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สายด่วน อย. 1556 หรือ สคบ. 1166 ไม่เพียงช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างฐานข้อมูลที่ช่วยติดตามพฤติกรรมผู้ขายที่ไม่สุจริตในระยะยาว

ในหลายพื้นที่ของประเทศ ยังมีการรวมกลุ่มเฝ้าระวังโฆษณาสุขภาพออนไลน์ที่เกิดจากความสมัครใจของอาสาสมัครในชุมชน กลุ่มเหล่านี้ทำหน้าที่คัดกรองข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ค้นหาสินค้าที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย และรายงานต่อหน่วยงานรัฐอย่างเป็นระบบ ช่วยปิดช่องโหว่ที่กลไกภาครัฐเพียงลำพังอาจไม่สามารถครอบคลุมได้ครบถ้วน

เมื่อประชาชนตระหนักว่าตนเองไม่ใช่เพียงผู้ซื้อ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายปกป้องสิทธิผู้บริโภค ก็จะเกิด “ภูมิคุ้มกันดิจิทัล” ที่ทำให้ตลาดสุขภาพในยุคบูมเติบโตอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

บรรณาธิการออนไลน์