โลกปั่นป่วน ไทยต้องปรับเกมทูต ใช้ ASEAN–RCEP–CPTPP เป็นคานงัดยุทธศาสตร์

โลกปั่นป่วน ไทยต้องปรับเกมทูต ใช้ ASEAN–RCEP–CPTPP เป็นคานงัดยุทธศาสตร์

งานสัมมนา “Transforming Thailand ปรับโฉมไทย สู่อนาคตและความยั่งยืน” จัดโดย TNN ช่อง 16 เนื่องในโอกาสครบรอบ 18 ปี เปิดเวทีวันแรกด้วยหัวข้อ “โลกเปลี่ยน ไทยปรับ: การทูตไทยและความร่วมมือภูมิภาค” โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมบรรยายพิเศษ โดยชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของโลกกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายมิติ ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสภาพภูมิอากาศ ทำให้ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์การทูตให้เป็นเชิงรุก และวางแนวทางการทำงานในลักษณะพหุภาคี เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น

ปัจจัยแรกที่ถูกหยิบยกคือความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งไม่เพียงแต่เปลี่ยนการดำเนินชีวิตของประชาชน แต่ยังเข้ามามีบทบาทในการบริหารงานภาครัฐและองค์กรธุรกิจ ดร.สุรเกียรติ์ ย้ำว่าผู้ที่ใช้ AI ได้จะก้าวนำผู้ที่ไม่ใช้ และประเทศที่สร้างผู้ใช้ AI จำนวนมากย่อมมีความได้เปรียบเหนือกว่า ดังนั้น ไทยต้องเร่งสร้างบุคลากรที่มีทักษะใหม่ทั้งด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และดิจิทัล เพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ถัดมาคือ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัย ซึ่งอาจกลายเป็นภาระหากขาดการปรับตัว แต่หากลงทุนในระบบรีสกิลและอัปสกิลแรงงานอย่างจริงจัง ก็สามารถพลิกเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสุขภาพและบริการดูแลผู้สูงอายุ ที่จะสร้างงานและรายได้มหาศาลในอนาคต

สรุปข่าว

เวทีวันแรก “Transforming Thailand” ตอกย้ำว่าไทยต้องรับมือโลกหลายขั้วด้วยการทูตเชิงรุก การใช้กรอบพหุภาคี สมดุลมหาอำนาจ และการยกระดับทุนมนุษย์ ทั้งทักษะ AI การรีสกิลแรงงาน และการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ พร้อมปรับระบบรับมือฉุกเฉินและเสริมบทบาทอาเซียน เพื่อสร้างเสถียรภาพในอนาคต

งานสัมมนา “Transforming Thailand ปรับโฉมไทย สู่อนาคตและความยั่งยืน” จัดโดย TNN ช่อง 16 เนื่องในโอกาสครบรอบ 18 ปี เปิดเวทีวันแรกด้วยหัวข้อ “โลกเปลี่ยน ไทยปรับ: การทูตไทยและความร่วมมือภูมิภาค” โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมบรรยายพิเศษ โดยชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของโลกกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายมิติ ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสภาพภูมิอากาศ ทำให้ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์การทูตให้เป็นเชิงรุก และวางแนวทางการทำงานในลักษณะพหุภาคี เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น

ปัจจัยแรกที่ถูกหยิบยกคือความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งไม่เพียงแต่เปลี่ยนการดำเนินชีวิตของประชาชน แต่ยังเข้ามามีบทบาทในการบริหารงานภาครัฐและองค์กรธุรกิจ ดร.สุรเกียรติ์ ย้ำว่าผู้ที่ใช้ AI ได้จะก้าวนำผู้ที่ไม่ใช้ และประเทศที่สร้างผู้ใช้ AI จำนวนมากย่อมมีความได้เปรียบเหนือกว่า ดังนั้น ไทยต้องเร่งสร้างบุคลากรที่มีทักษะใหม่ทั้งด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และดิจิทัล เพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ถัดมาคือ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัย ซึ่งอาจกลายเป็นภาระหากขาดการปรับตัว แต่หากลงทุนในระบบรีสกิลและอัปสกิลแรงงานอย่างจริงจัง ก็สามารถพลิกเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสุขภาพและบริการดูแลผู้สูงอายุ ที่จะสร้างงานและรายได้มหาศาลในอนาคต

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจาก โรคระบาด แสดงให้เห็นชัดในช่วงโควิด-19 ว่ารัฐยังไม่พร้อมต่อการจัดการเหตุฉุกเฉิน ดร.สุรเกียรติ์ ชี้ว่าจำเป็นต้องมีศูนย์บัญชาการระดับชาติที่สามารถสั่งการได้รวดเร็ว พร้อมระบบสำรองด้านอุปกรณ์และบุคลากร เพื่อไม่ให้ประเทศเผชิญภาวะชะงักงันซ้ำอีก

ในด้าน สิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ ปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม และภัยแล้งเกิดถี่และรุนแรงขึ้น เมืองและชุมชนจึงต้องเร่งปรับผังเมือง โครงสร้างพื้นฐาน และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อบรรเทาความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

นอกจากนี้ ความปั่นป่วนจาก ภูมิรัฐศาสตร์ ตั้งแต่สงครามรัสเซีย–ยูเครน ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ไปจนถึงปัญหาในเมียนมา ล้วนส่งผลต่อราคาพลังงาน เงินเฟ้อ และห่วงโซ่อุปทานโลก ทำให้ไทยไม่อาจยืนอยู่เฉย แต่ต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการเจรจาและประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและพันธมิตร

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากระเบียบ ขั้วเดียวสู่หลายขั้ว การถ่วงดุลของ BRICS และ SCO รวมทั้งนโยบายกีดกันทางการค้าแบบชาตินิยมเศรษฐกิจ ได้สร้างกติกาใหม่ที่ท้าทายต่อเสรีการค้า อีกทั้งข้อตกลงการค้าสมัยใหม่ยังครอบคลุมไปถึงบริการ มาตรฐาน การลงทุน และความมั่นคงทางเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ภาษีศุลกากรเช่นในอดีต

ต่อสถานการณ์ดังกล่าว ดร.สุรเกียรติ์เสนอว่า ไทยควร ยกระดับความร่วมมือจากทวิภาคีสู่พหุภาคี โดยใช้กรอบ ASEAN, RCEP และ CPTPP เพื่อสร้างคานงัดเชิงยุทธศาสตร์ ขณะเดียวกันต้องรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจทั้งสหรัฐ จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ผ่านการสื่อสารเชิงรุกและต่อเนื่อง

บทบาทต่อ เมียนมา ถูกระบุว่าไทยต้องทำงานกับอาเซียนเพื่อผลักดันสันติภาพ เปิดพื้นที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และสร้างกระบวนการทางการเมืองที่น่าเชื่อถือ ส่วนความสัมพันธ์กับ กัมพูชา และประเทศในลุ่มน้ำโขงต้องตั้งอยู่บนกฎหมายระหว่างประเทศและช่องทางการทูตเพื่อคลี่คลายความตึงเครียด นอกจากนี้ควรมี ทีมสื่อสารระหว่างประเทศ ที่ออกแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษอย่างทันท่วงที เพื่อกำหนดวาระและป้องกันความเสียหายต่อภาพลักษณ์

อีกหนึ่งข้อเสนอคือการแต่งตั้ง ผู้แทนพิเศษด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสหรัฐ เพื่อเปิดช่องทางพูดคุยเชิงยุทธศาสตร์และลดแรงปะทะด้านการค้า–การลงทุน ควบคู่กับการเร่ง ปฏิรูปคนและการศึกษา ให้ AI และ Computer Science กลายเป็นทักษะฐานของผู้เรียน และส่งเสริมการรีสกิลแรงงานทั้งวัยทำงานและผู้สูงอายุ รวมถึงการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้วยนโยบายวีซ่า ภาษี และสิทธิประโยชน์ด้านที่อยู่อาศัย

ท้ายที่สุด การใช้ FTA อย่างมีประสิทธิผล จะต้องเชื่อมโยงกับภาคเอกชนเพื่อขยายตลาดสินค้า บริการ และดิจิทัล พร้อมกับการสร้างระบบรับมือฉุกเฉินที่มีอำนาจสั่งการรวมศูนย์ในยามวิกฤติ ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่ช่วยให้ไทยสามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และยืนได้อย่างมั่นคงในระเบียบโลกใหม่ที่กำลังพลิกผันอย่างรวดเร็ว

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

บรรณาธิการออนไลน์