คุมราคายา รพ.เอกชน เซฟเงินได้ปีละ 33,500 ล้าน ลดช่องว่างคนจนคนรวย

คุมราคายา รพ.เอกชน เซฟเงินได้ปีละ 33,500 ล้าน ลดช่องว่างคนจนคนรวย

การเคลื่อนไหวของศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กลายเป็นประเด็นร้อนในสภา เมื่อเธอหยิบยกเรื่องการคุมราคายาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชนขึ้นมาเป็นหนึ่งใน Quick Big Win ของรัฐบาล จุดประสงค์สำคัญคือบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่าหากมาตรการนี้เดินหน้าเต็มรูปแบบ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้กว่า 33,500 ล้านบาทต่อปี

ศุภจี อธิบายว่ากระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการสองแนวทางไปพร้อมกัน แนวทางแรกคือบังคับให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยราคายาอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยรู้ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและสามารถเลือกไปซื้อจากร้านขายยาภายนอกได้หากถูกกว่า อีกแนวทางคือควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น เช่น ถุงมือยาง สำลี และชุดตรวจโควิด เพื่อป้องกันการตั้งราคาที่สูงเกินจริง ตัวเลขเบื้องต้นประเมินว่าจะช่วยลดภาระในส่วนของยากว่า 32,400 ล้านบาท และในส่วนเวชภัณฑ์อีกกว่า 1,100 ล้านบาทต่อปี

ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนกว่า 110 แห่งจาก 5 เครือใหญ่ที่ตอบรับเข้าร่วมแล้ว ได้แก่ วิภาราม เกษมราษฎร์ ธนบุรี บางประกอก และดุสิตเวชการ ขณะที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนมีสมาชิกมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ กระทรวงพาณิชย์จึงเตรียมหารือเพิ่มเติมเพื่อขยายความร่วมมือให้กว้างขึ้น

ปัญหาค่ายาแพงในโรงพยาบาลเอกชนไม่ใช่เรื่องใหม่ งานวิจัยในอดีตพบว่าโรงพยาบาลบางแห่งมีกำไรจากการขายยาสูงถึงพันเปอร์เซ็นต์ และบางรายการแพงกว่าท้องตลาดหลายสิบเท่า ตัวอย่างจากหลายๆแหล่งที่มา เคยนำเสนอ เช่น ยาฉีดแก้ปวดที่โรงพยาบาลรัฐขายเพียง 6.50 บาท แต่โรงพยาบาลเอกชนตั้งราคาไว้ 450 บาท หรือวิตามินบีคอมเพล็กซ์ที่รัฐขายเพียง 1.50 บาทต่อหลอด แต่เอกชนคิดราคา 600 บาท

สรุปข่าว

ศุภจี สุธรรมพันธ์ รมว.พาณิชย์ เดินหน้านโยบายคุมราคายาและเวชภัณฑ์ รพ.เอกชน หวังลดค่าครองชีพประชาชนกว่า 33,500 ล้านบาทต่อปี แต่ยังมีความท้าทายทั้งด้านรายได้ รพ.เอกชน ระบบตรวจสอบ และความร่วมมือในวงกว้าง

การเคลื่อนไหวของศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กลายเป็นประเด็นร้อนในสภา เมื่อเธอหยิบยกเรื่องการคุมราคายาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชนขึ้นมาเป็นหนึ่งใน Quick Big Win ของรัฐบาล จุดประสงค์สำคัญคือบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่าหากมาตรการนี้เดินหน้าเต็มรูปแบบ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้กว่า 33,500 ล้านบาทต่อปี

ศุภจี อธิบายว่ากระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการสองแนวทางไปพร้อมกัน แนวทางแรกคือบังคับให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยราคายาอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยรู้ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและสามารถเลือกไปซื้อจากร้านขายยาภายนอกได้หากถูกกว่า อีกแนวทางคือควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น เช่น ถุงมือยาง สำลี และชุดตรวจโควิด เพื่อป้องกันการตั้งราคาที่สูงเกินจริง ตัวเลขเบื้องต้นประเมินว่าจะช่วยลดภาระในส่วนของยากว่า 32,400 ล้านบาท และในส่วนเวชภัณฑ์อีกกว่า 1,100 ล้านบาทต่อปี

ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนกว่า 110 แห่งจาก 5 เครือใหญ่ที่ตอบรับเข้าร่วมแล้ว ได้แก่ วิภาราม เกษมราษฎร์ ธนบุรี บางประกอก และดุสิตเวชการ ขณะที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนมีสมาชิกมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ กระทรวงพาณิชย์จึงเตรียมหารือเพิ่มเติมเพื่อขยายความร่วมมือให้กว้างขึ้น

ปัญหาค่ายาแพงในโรงพยาบาลเอกชนไม่ใช่เรื่องใหม่ งานวิจัยในอดีตพบว่าโรงพยาบาลบางแห่งมีกำไรจากการขายยาสูงถึงพันเปอร์เซ็นต์ และบางรายการแพงกว่าท้องตลาดหลายสิบเท่า ตัวอย่างจากหลายๆแหล่งที่มา เคยนำเสนอ เช่น ยาฉีดแก้ปวดที่โรงพยาบาลรัฐขายเพียง 6.50 บาท แต่โรงพยาบาลเอกชนตั้งราคาไว้ 450 บาท หรือวิตามินบีคอมเพล็กซ์ที่รัฐขายเพียง 1.50 บาทต่อหลอด แต่เอกชนคิดราคา 600 บาท

ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยอยู่ที่ราว 4 ถึง 5% ของ GDP และเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 4.5% เร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมที่เฉลี่ยเพียง 2 ถึง 2.5% สภาพเช่นนี้ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนจำนวนมากเลือกที่จะใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขภาครัฐเผชิญความแออัดและเวลารอคอยที่ยาวนาน กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ

หากมาตรการใหม่เดินหน้า โรงพยาบาลเอกชนอาจต้องเผชิญแรงกดดันด้านรายได้ เพราะการขายยาคือหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญ นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าโรงพยาบาลอาจต้องปรับกลยุทธ์ เน้นรายได้จากบริการรักษามากขึ้นแทนการพึ่งพาการจำหน่ายยา อย่างไรก็ตามก็มีความกังวลว่าโรงพยาบาลอาจเลือกชดเชยด้วยการปรับค่าบริการอื่นแทน ซึ่งอาจทำให้ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่

ในอีกมุมหนึ่ง ฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่าการแข่งขันด้านราคาจะเกิดขึ้นจริง การที่ผู้ป่วยมีสิทธิ์เลือกซื้อยาจากภายนอกจะทำให้โรงพยาบาลเอกชนต้องปรับราคาเพื่อรักษาฐานคนไข้ และอาจดึงดูดคนชั้นกลางกลับมาใช้บริการมากขึ้น เพราะค่ารักษามีความสมเหตุสมผลกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ ทั้งในเรื่องการสร้างระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง ความร่วมมือจากโรงพยาบาลเอกชน และการหาจุดสมดุลระหว่างการลดภาระประชาชนกับการคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชน สมาคมโรงพยาบาลเอกชนเองอธิบายว่าราคายาที่สูงกว่าท้องตลาดมีสาเหตุจากต้นทุนแฝง เช่น ระบบเก็บรักษา การควบคุมคุณภาพ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงกำลังเผชิญเดิมพันใหญ่ในช่วงต้นของการทำงาน หากนโยบายนี้สามารถขับเคลื่อนได้จริงและมีประสิทธิภาพ นี่อาจกลายเป็นก้าวสำคัญของการปฏิรูประบบสุขภาพไทยที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่หากไม่สามารถผลักดันได้อย่างยั่งยืน มาตรการนี้ก็อาจจางหายไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเพียงอีกหนึ่ง Quick Big Win ที่ไม่ทิ้งร่องรอยการเปลี่ยนแปลงระยะยาวไว้ในระบบสาธารณสุขไทย

ที่มาข้อมูล : TNN รวบรวม/เรียบเรียง

ที่มารูปภาพ : Freepik

บรรณาธิการออนไลน์