สรุปข่าว
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency-IEA) ระบุว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเติบโตอย่างช้าๆ จนเกือบหยุดชะงักในอีกหลายปีข้างหน้า ก่อนจะแตะระดับสูงสุดก่อนสิ้นสุดทศวรรษนี้ ซึ่งความต้องการบริโภคของจีนจะชะลอตัวลง หลังฟื้นตัวจากที่ถูกกักไว้ช่วงโควิด
“ฟาติห์ บิรอล” ผู้อำนวยการบริหารของ IEA ระบุในแถลงการณ์ว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ใช้พลังงานสะอาดกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะแตะจุดสูงสุดก่อนสิ้นทศวรรษนี้ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประสิทธิภาพของพลังงาน และเทคโนโลยีอื่นๆ ก้าวหน้าขึ้น
รายงานล่าสุดของ IEA คาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกภายใต้เงื่อนไขตลาดและนโยบายในปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ตั้งแต่ปี 2565 แตะที่ 105.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2571 โดยมีแรงหนุนจากความต้องการในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและการบิน
อย่างไรก็ตาม ความต้องการบริโภคจะลดลงจาก 2.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2571
การชะลอตัวของเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วทำให้แนวโน้มทั่วโลกขึ้นอยู่กับการกลับมาเปิดประเทศของจีนหลังวิกฤตโควิด ซึ่งจะรักษาแรงเหวี่ยงเอาไว้ได้ในช่วงแรก ขณะที่การบริโภคของจีนที่ถูกกักไว้ในช่วงวิกฤตโควิดจะแตะระดับสูงสุดในช่วงกลางปี 2566 แตะที่ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่จะชะลอลงเหลือเพียง 290,000 บาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบเป็นรายปีระหว่างปี 2567-2571
การปรับเปลี่ยนกระแสการค้าโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และการระบายน้ำมันจากคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ของสมาชิก IEA เมื่อปีที่แล้ว ทำให้มีการสร้างสต็อกใหม่ และบรรเทาความตึงเครียดในตลาดท่ามกลางอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่การผลิตน้ำมันของรัสเซียยังคงไม่สดใส คาดว่าจะลดลงเนื่องจากการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ขนส่งทางทะเลของรัสเซียตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ประกอบกับการถอนตัวของบริษัทตะวันตกที่อำนวยความสะดวกในการผลิต โดย IEA ประเมินว่า อุปทานของรัสเซียน่าจะลดลงสุทธิ 710,000 บาร์เรลต่อวัน ในช่วงระยะเวลาจากนี้ไปจนถึงปี 2571
ที่มาข้อมูล : TNN ONLINE
ที่มาภาพ : TNN
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand