

สรุปข่าว
วันนี้ ( 14 ก.ย.62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เห็นด้วยที่ให้มีการตราพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อแก้ไขหนี้ เพราะกองทุนพยายามที่จะแก้ไขปัญหาการชำระหนี้อยู่ ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ของการไม่ชำระหนี้เกิดจากคนยากจน ขาดแคลน มีรายได้ไม่เพียงพอ คนที่มีรายได้ แต่ไปก่อหนี้เพิ่ม และผู้กู้ยืมขาดจิตสำนึกในการคืนเงิน
ส่วนผู้ค้ำประกันที่เป็นปัญหานั้น ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นพ่อ แม่ ที่ค้ำประกันให้ผู้กู้ยืม ในส่วนของผู้ค้ำประกันที่เป็นคุณครูลดลง ส่วนดอกเบี้ยอยู่ที่ 1% ถือว่าค่อนข้างต่ำแล้ว ซึ่งกองทุนก็ได้มีมาตรการแก้หนี้ โดยกำหนดให้ผู้กู้ยืมทุกกลุ่มที่ต้องการปิดบัญชี กองทุนจะลดเบี้ยปรับถึงร้อยละ 80 สำหรับผู้กู้ยืมกลุ่มก่อนฟ้องคดีที่ไม่ค้างชำระหนี้แล้ว จะลดเบี้ยปรับให้ถึงร้อยละ 75 พร้อมพักชำระหนี้ 1 ปี
สำหรับ ผู้กู้ยืมที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถปรับอัตราเบี้ยปรับจากเดิมร้อยละ 12-18 เหลือ ร้อยละ 7.5 ต่อปี เพิ่มค่าครองชีพให้ผู้กู้ยืมทุกกลุ่มอีก 600 บาทต่อเดือน เริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา ปี 2563 เป็นต้นไป พร้อมมั่นใจจะมีเงินเพียงพอให้เงินกู้ยืมสำหรับคนที่ขาดแคลน
ด้าน นายกิตติศักดิ์ ธนันณัฏฐ์ ผู้แทนผู้กู้ยืมเงิน เห็นด้วยกับการจะตราพระราชบัญญัตินี้ แต่มองว่าการคุ้มครองจะคุ้มครองผู้กู้ยืมหนี้รุ่นหลังๆ มากกว่า จึงอยากให้ครอบคลุมถึงผู้กู้ยืมรายเก่าด้วย และเหตุที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เนื่องจากเบี้ยปรับค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อทบกับเงินต้นแล้วทำให้เงินรวมที่จะต้องชำระเป็นเงินจำนวนมาก จึงทำให้ไม่สามารถหาเงินมาชำระได้
ขณะที่ นางปทิตตา วิปัสสา ผู้ได้รับผลกระทบจากการเป็นผู้ค้ำประกัน กล่าวว่า ผู้ค้ำประกันถือเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากหากผู้กู้ยืมไม่สามารถชำระเงินได้ ตามกฎหมายต้องให้ผู้ค้ำประกันต้องชำระแทน จึงอยากให้กองทุนช่วยเหลือในส่วนตรงนี้ด้วย
ที่มาข้อมูล : -