
เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เช้านี้เปิดตลาดที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทเช้าวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2568 เปิดตลาดที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าจากระดับปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ โดยนักกลยุทธ์ตลาดเงินประเมินว่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways ในกรอบ 32.37 – 32.51 บาทต่อดอลลาร์ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าจากความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรง โดยค่าเงินบาทในกรอบสัปดาห์นี้อยู่ที่ 32.10 – 33.00 บาทต่อดอลลาร์ และในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้าอยู่ที่ 32.30–32.60 บาทต่อดอลลาร์
สรุปข่าว
เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เช้านี้เปิดตลาดที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทเช้าวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2568 เปิดตลาดที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าจากระดับปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ โดยนักกลยุทธ์ตลาดเงินประเมินว่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways ในกรอบ 32.37 – 32.51 บาทต่อดอลลาร์ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าจากความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรง โดยค่าเงินบาทในกรอบสัปดาห์นี้อยู่ที่ 32.10 – 33.00 บาทต่อดอลลาร์ และในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้าอยู่ที่ 32.30–32.60 บาทต่อดอลลาร์
แม้ว่าราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจัยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะช่วยพยุงค่าเงินบาทในบางช่วง แต่ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นก็กลับเป็นแรงกดดันต่อฝั่งอ่อนค่า เนื่องจากไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิ โดยค่าเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าแบบค่อยเป็นค่อยไป หากสถานการณ์ยืดเยื้อและราคาพลังงานโลกยังไม่ลดลง
ตลาดรอผลประชุมเฟด คาดยังคงดอกเบี้ยแต่จับตา Dot Plot
ปัจจัยสำคัญที่ตลาดการเงินกำลังจับตามองคือ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ที่จะทราบผลช่วงเช้าตรู่วันที่ 19 มิถุนายน ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25–4.50% อย่างไรก็ตาม ความสนใจหลักอยู่ที่การอัปเดตแผนภูมิ Dot Plot ซึ่งสะท้อนมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อทิศทางดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี หาก Dot Plot ใหม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยลง อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าและกดดันเงินบาทเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ตลาดเริ่มกลับมาคาดหวังว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้สองครั้งในปีนี้ แต่หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ช่วงต่อไปออกมาดีกว่าคาด ความเชื่อมั่นดังกล่าวอาจเปลี่ยนไป
ธนาคารกลางทั่วโลกส่งสัญญาณคงดอกเบี้ย นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางรายใหญ่ในยุโรปและเอเชีย ต่างมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ย โดย BOE ของอังกฤษอาจเลือกคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25% และมีโอกาสปรับลดในการประชุมเดือนกันยายน ด้าน BOJ ของญี่ปุ่นก็น่าจะยังคงดอกเบี้ยที่ 0.50% เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ต้องจับตา
ในภูมิภาคเอเชีย ตลาดกำลังรอตัวเลขเศรษฐกิจจากจีน อาทิ ยอดค้าปลีกและผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางอินโดนีเซียและไต้หวันอาจยังคงดอกเบี้ยไว้เช่นกัน ส่วนฟิลิปปินส์มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25%
เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนสูง นักลงทุนควรบริหารความเสี่ยง
สำหรับประเทศไทย ฝ่ายวิจัยตลาดเงินธนาคารกรุงไทยประเมินว่า ยอดส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคมอาจยังเติบโตได้ดีจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าก่อนมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ดุลการค้ายังคงขาดดุลต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ -3.3 พันล้านดอลลาร์
ในระยะสั้น ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้จากราคาทองคำ แต่หากราคาทองคำลดลงหรือสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลายเร็ว แรงกดดันฝั่งแข็งค่าก็อาจหายไป ตลาดจึงควรจับตาความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำ เพราะหากนักลงทุนเริ่มไล่ราคาทองคำในลักษณะ FOMO (Fear of Missing Out) ทองคำอาจขึ้นแรงและส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าตามแรงซื้อกระแสเงินทุน
กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงในช่วงนี้จึงควรใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Forward) หรือ Option เพื่อรองรับความผันผวนในช่วงก่อนและหลังผลการประชุมเฟด โดยค่าเงินบาทในกรอบสัปดาห์นี้อยู่ที่ 32.10 – 33.00 บาทต่อดอลลาร์ และในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้าอยู่ที่ 32.30–32.60 บาทต่อดอลลาร์
ที่มาข้อมูล : กรุงไทย
ที่มารูปภาพ : Getty Images