

สรุปข่าว
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลสำรวจมุมมองนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในประเทศไทยว่า จากการหารือร่วมกันระหว่าง ธปท.กับนักลงทุนญี่ปุ่น พบว่า ผู้ประกอบการญี่ปุ่นในไทยส่วนใหญ่จะยังคงการลงทุนในปีนี้ แต่ไม่ค่อยมีแผนลงทุนขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้ลงทุนในไทยไปแล้วค่อนข้างมากแล้วในระยะก่อนหน้านี้ โดยลักษณะการลงทุนในระยะหลังมักเป็นการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการลงทุนของ SMEs และภาคบริการที่เข้ามาเพื่อสนับสนุนธุรกิจเดิมเป็นหลัก
ทั้งนี้ มีบริษัทญี่ปุ่นส่วนหนึ่งที่มีแผนจะลงทุนในในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในระยะข้างหน้า ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่มักลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมหลัก
ในขณะที่มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นในจีนย้ายฐานมาไทยมากนัก เนื่องจากธุรกิจญี่ปุ่นในจีนส่วนใหญ่เน้นผลิตเพื่อตอบสนองตลาดในประเทศจีนเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯเพียง 6% ของยอดขายเท่านั้น และมีเพียงผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะย้ายฐานมาไทย
เมื่อสอบถามถึงปัจจัยหลักที่นักลงทุนญี่ปุ่นใช้พิจารณาเลือกประเทศที่จะเข้าไปลงทุน พบว่านักลงทุนญี่ปุ่นให้สำคัญในหลายเรื่อง ได้แก่ การมีห่วงโซ่การผลิตที่เข้มแข็ง การเติบโตของตลาดในประเทศ การเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านที่ดี รวมถึงการมีจำนวนแรงงานเพียงพอและมีทักษะที่ดี
ทั้งนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นมองว่า ไทยมีห่วงโซ่การผลิตที่เข้มแข็ง แต่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและตลาดกำลังเล็กลง การลงทุนในไทยจึงต้องมองในลักษณะเป็นฮับ (hub) มากขึ้น จึงต้องอาศัยการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านที่ดีทั้งด้านระบบคมนาคมและกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจ
นักลงทุนญี่ปุ่นยังมองว่าอุปสรรคสำคัญต่อการยกระดับอุตสาหกรรมของไทย คือ การขาดแคลนบุคลากรทักษะสูง เช่น วิศวกรและกลุ่มผู้บริหาร ค่าจ้าง แรงงานที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แรงงานขาดทักษะด้านภาษาอังกฤษ รวมถึงการขาดความต่อเนื่องของนโยบาย
ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบความน่าสนใจในการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศเวียดนาม พบว่า ผู้ประกอบการญี่ปุ่นมองว่าค่าแรงเวียดนามถูกกว่าไทย แต่ยังขาดห่วงโซ่การผลิตที่เข้มแข็ง ขาดความต่อเนื่องของนโยบาย และมีความซับซ้อนของกฎระเบียบ ซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมของเวียดนามไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนมากนัก อย่างไรก็ดี เวียดนามมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นยังให้มุมมองเกี่ยวกับการลงทุนในอินเดีย โดยบอกว่า อินเดีย เป็นตลาดที่เติบโตเร็วและมีศักยภาพ แต่กฎระเบียบที่ซับซ้อนและอัตราภาษีที่สูงถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าไปลงทุนในอินเดียโดยตรง ดั้งนั้น จึงยังต้องการใช้ฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออกเป็นหลัก
แต่เนื่องจากปัจจุบันฐานการผลิตส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคตะวันออก ทำให้ต้องใช้เวลาในการขนส่งค่อนข้างนาน บางธุรกิจจึงสนใจที่จะไปตั้งฐานการผลิตทางฝั่งตะวันตกของไทยแทน และต้องการให้ภาครัฐสร้างและเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวยต่อการส่งออกผ่านทางพม่า รวมไปถึงพัฒนาระบบภาษีศุลกากรด้วย
ธปท.ยังสอบถามมุมมองของนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในไทยในระยะข้างหน้า นักลงทุนญี่ปุ่นเห็นว่า ภาครัฐของไทยควรให้ ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก คือ
1. ขับเคลื่อนนโยบายหลักจากรัฐบาลก่อนอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการส่งเสริมการลงทุนของ BOI การใช้ระบบ อัตโนมัติเพื่อแทนแรงงานคน และเทคโนโลยี Internet of Things การผลักดันนโยบาย EEC และ Thailand 4.0 รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
2.ดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจในเวลาที่เหมาะสม ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน
3.เสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบของภาครัฐ กำหนดค่าแรงขั้นต่ำที่ เหมาะสมและการจัดเสวนาแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนอย่างสม่ำเสมอ
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand
ที่มาข้อมูล : -