
สรุปข่าว
วันนี้ ( 7 เม.ย.63) วิจัยกรุงศรีจัดทำรายงาน ล่าสุด หลังจากที่มีการปรับโมเดลการวิเคราะห์ข้อมูลในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้สมมติฐานที่มีความแม่นยำมากขึ้น เกี่ยวกับผลกระทบของภาวะชะงักงันที่เกิดขึ้นในทั่วโลก การปิดประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และผลกระทบเชิงตัวคูณของรายได้ที่ติดลบ พบว่า เศรษฐกิจไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดจากโรคโควิด-19 ซึ่งรวมถึงประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป มาเลเซียและเกาหลีใต้
หากประเทศไทยใช้นโยบายล็อคดาวน์หรือการกักตัวอยู่ในบ้าน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดเป็นเวลานาน 2 เดือน แทนที่จะเป็น 1 เดือน จะสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจมากยิ่งกว่า 2 เท่า ขณะที่ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศลดลงไป 60% จะทำให้เศรษฐกิจไม่ขยายตัวและติดลบเพิ่มขึ้น 3.2%` จากตัวเลขที่เคยประเมินในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตามมาด้วยการชะงักงันด้านอุปทานจากทั้งในและต่างประเทศ และผลกระทบจากรายได้ที่ลดลง
วิจัยกรุงศรี ปรับลดการคาดหมายการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลง จากที่เคยประเมินลดลง -0.8% เป็น -5.4% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เลวร้ายที่สุดนับแต่ไทยเจอวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2541 และนี่เป็นการปรับลดการประมาณการเศรษฐกิจลงอย่างต่อเนื่อง เป็นครั้งที่ 3 ภายในช่วงเวลา 3 เดือน นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทย กล่าวคือ ภัยแล้ง ความล่าช้าในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของไทย การที่นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นเข้ามาลงทุนน้อยลง ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้ถดถอยลงไปอีก
ธุรกิจส่วนมากไม่สามารถที่จะรักษาอัตรารายได้ และทำกำไรได้ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดต่ำลงและหลายกิจการอาจสูญเสียเงินทุน วิจัยกรุงศรีพบว่า บริษัทที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนสูงกว่าหนี้สินหมุนเวียน จะสามารถชำระคืนหนี้ได้ แต่โควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อรายได้และลดทอนมูลค่าทรัพย์สินทางบัญชีลง โดยเฉพาะเงินสด แต่บริษัทที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนต่ำกว่าหนี้สินหมุนเวียน อาจจะเจอปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงินได้ เช่น ภัตตาคาร ร้านอาหาร สายการบินและโรงแรมคือกลุ่มธุรกิจที่ต้องเผชิญความยากลำบากในปีนี้
ทั้งนี้ ผลกระทบของโรคโควิด-19 ทำให้ธุรกิจในประเทศไทย ต้องได้รับการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องระยะสั้น เป็นจำนวน 1.7 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของจีดีพี โดยประเมินจากตัวเลขภาระหนี้สินระยะสั้น 1 ปี ของบริษัทเหล่านี้ หากไม่มีการปรับโครงสร้างธุรกิจและโครงสร้างหนี้ กิจการด้านค้าส่งและค้าปลีกจะมีหนี้ระยะสั้นถึงเกือบ 200,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจโรงแรม สายการบินและร้านอาหารต้องการเม็ดเงินช่วยเหลือ 30,000-50,000 ล้านบาท และยังมีกิจการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อีกเกือบ 60% ที่ต้องการความช่วยเหลือแห่งละมากกว่า 1 ล้านบาท
โรคระบาดโควิด-19 เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในทั่วโลก ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง โดยกระจายไปในทุกภาคธุรกิจตั้งแต่ภาคการโรงแรมจนถึงการศึกษา โควิด-19 ทำให้รายได้และผลกำไรของบริษัทลดลงและส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งแนวโน้มเชิงลบเช่นนี้ยิ่งผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง วิจัยกรุงศรีพบว่าภาคธุรกิจปกติต้องได้รับการสนับสนุน ด้านสภาพคล่องเป็นเม็ดเงิน 1.7 ล้านล้านบาท หากรวมภาคธุรกิจอื่นๆและภาคครัวเรือนยิ่งต้องใช้เม็ดเงินเพิ่มมากกว่านี้อีกเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยล่มสลายจาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand
- แบกไม่ไหว! "บิ๊ก ศรุต" ประกาศขายรถหรู หลังโดนโควิดรอบ 2 เล่นงาน
- ต่างชาติ ปักหมุด ลงทุนธุรกิจการศึกษา-พัฒนานวัตกรรมการเรียนในไทย
- ปชช.แห่ลงทะเบียนรับมาตรการพักหนี้ ธอส. 4 เดือน เพิ่มเป็น 82,699 บัญชี
- รัฐ เล็งปิดจ็อบเวนคืน-รื้อย้ายสร้างไฮสปีดซี.พี. ม.ค.ปี64
- เตือนแชร์ลูกโซ่ระบาดหลอกทำงานที่บ้านแต่ไม่ได้เงิน
- "แอปเปิล-กูเกิล"พัฒนาแอปฯป้องการแพร่ระบาดโควิด-19
- ผิดกม.อาญา!หากพบแจ้งเท็จ ปกปิดข้อมูลเสี่ยง'โควิด-19' เจอทั้งคุก-ปรับ
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand