"ราชกรุ๊ป"รุกธุรกิจไฟฟ้ารับ New Normal

วันนี้ (14 พ.ค.63) นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจผลิตไฟฟ้าให้บรรลุเป้าหมาย 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมการแพทย์ และอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ มีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น อีกทั้ง จะมีการพัฒนาคิดค้นนวัตกรรม และนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และการดำเนินชีวิตรองรับวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal หลังจากนี้ เพื่อให้เกิดการรักษาระยะห่างทางสังคมลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 800 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปข้อตกลงในปีนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ประสบความสำเร็จร่วมทุนในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ประเภทโคเจนเนอเรชั่น 2 แห่งในประเทศไทย มูลค่าการลงทุนส่วนทุนรวม 888 ล้านบาท พร้อมกันนี้ บริษัท จะต่อยอดการลงทุนพัฒนาโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับวิถีชีวิตปกติใหม่จากธุรกิจที่ลงทุนแล้ว ได้แก่ โครงข่าย Internet of Things (IoT) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลหลังวิกฤตโควิด-19  

จากวิกฤตโควิด-19  เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส  สำหรับโอกาสนั้น ทางบริษัทมองเห็นศักยภาพในการลงทุนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ธุรกิจสีเขียว โครงการ Independent Power Supply (IPS) เพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต การต่อยอดธุรกิจจากโครงข่าย IoT เพื่อตอบสนองภาคธุรกิจและผู้บริโภค การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ รวมถึงการลงทุนพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์วิถีปกติใหม่ของธุรกิจและสังคมร่วมกับกลุ่ม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. 

นอกจากนี้ บริษัท ยังได้ใช้โอกาสจากการทำงานทางไกล ยกระดับศักยภาพขององค์กรเพื่อปรับรูปแบบการทำงานให้เป็น Smart Workplace ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ทำงานเชื่อมต่อกันภายในและซัพพลายเชน นำระบบแอพพลิเคชั่นที่รองรับการทำงานของพนักงานแต่ละวัย สิ่งที่ตามมาคือรูปแบบการทำงานแบบบุคคลที่เปลี่ยนไปสู่การทำงานเป็นทีมดิจิทัล ซึ่งทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น ทั้งยังลดการใช้ทรัพยากรและต้นทุนการดำเนินธุรกิจด้วย

สำหรับผลการดำเนินไตรมาส 1 ปี 2563  รายได้รวม มีจำนวน 4,506.78 ล้านบาท มีกำไรก่อนรับรู้ผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 1,983.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.5 จากไตรมาสที่ 1 ปี 2562 และเมื่อรับรู้การขาดทุนทางบัญชีอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทมีกำไร 1,360.82 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.8 จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว      

เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com 
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand