ส่องหุ้นรับผลดี-ผลเสียเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ

ส่องหุ้นรับผลดี-ผลเสียเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ

สรุปข่าว

รายงานข่าวจากบล.เอเซียพลัสแจ้งว่า เกือบสัปดาห์แล้วที่เหตุการณ์เรือยักษ์ Ever Given  เกยตื้นติดอยู่กับชายฝั่ง ลำตัวขวางกั้นคลองสุเอซ (Suez)  ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างยุโรปกับเอเชีย   ทำให้เรือลำอื่นรวมกันเกิน 200 ลำไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 


สถานการณ์ล่าสุด คือ  เรือยังไม่ขยับมาก แม้น้ำจะขึ้น   โดยแผนการล่าสุด ที่จะดำเนินการคือ การขนย้ายตู้สินค้าบนเรือออก เพื่อให้เรือมีน้ำหนักเบาขึ้น และสามารถลากจูงออกมาได้ง่าย โดยคาดว่าจะใช้เวลาราว 1-2 สัปดาห์ เพราะในเรือมีตู้สินค้ากว่า 2 หมื่นตู้    หากยืดเยื้อเป็นเวลานาน 2 สัปดาห์ หรือกรณีเลวร้าย  นานร่วมเดือนจะเป็นการซ้ำเติมวิกฤตตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ทำให้อัตราค่าระวางของสายเรือทุกประเภทปรับตัวขึ้นตามต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น  อาทิ ราคาน้ำมันดิบ  (วันศุกร์พลิกกลับมา + 4%)  ไม่ว่าจะเป็นเรือบรรทุกตู้คอนเทนอเนอร์ และเรือเทกอง รวมถึงเรือขนส่งน้ำมัน


สำหรับผลกระทบโดยรวมเป็นปัจจัยลบกระทบต่อการค้าโลกช่วงสั้น  โดย ASPS ประเมินผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียน ดังนี้ หุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มพลังงาน  โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น จาก Supply ที่หายไป   ที่สำคัญ คือ ตลาดรอผลกาประชุม OPEC+  1  เม.ย. ช่วงสั้นราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นดีต่อ  PTT (Buy: [email protected]) และ PTTEP (Buy: FV@B118) 


กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ที่รับจัดการขนส่งทางเรือ(Sea Freight)  คาดจะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ เช่น LEO (รายได้จาก Sea Freight 69%), III (รายได้จาก Sea Freight 10%), SONIC (รายได้จาก Sea Freight 63%) ขณะที่หุ้นที่ฝ่ายวิจัย Coverage คือ WICE (BUY,[email protected]) มีสัดส่วนรายได้จาก Sea Freight 16% และกลุ่มธุรกิจห้องเย็น-คลังสินค้าจะได้รับประโยชน์คือ JWD (BUY,[email protected]) เพราะผู้ประกอบการจะนำสินค้าเข้ามาพักไว้ในคลังบริเวณท่าเรือแหลมฉะบัง ในระหว่างที่ต้องรอเวลาบรรจุเข้าตู้สินค้ายาวนานขึ้น


ส่วนบริษัทที่มีส่งออก อาทิ กลุ่มเกษตร -อาหาร : STGT, STA,  TU, TFG GFPT  CPF   ฝ่ายวิจัยได้โทรไปสอบถามบริษัทจดทะเบียนเกือบทุกบริษัทที่ทำการศึกษา  ในเบื้องต้นคาดว่าผลกระทบจำกัด  เพราะเป็นผลกระทบระยะสั้นและสัดส่วนการส่งออกไปสหภาพยุโรปไม่มาก   แต่ยังต้องติดตามว่าปัญหาดังกล่าวจะยืดเยื้อหรือไม่ ซึ่งหากยืดเยื้ออาจทำให้ค่าขนส่งของผู้ประกอบการสูงขึ้น เพราะต้องใช้เส้นทางขนส่งที่ยาวขึ้น  ดังนี้


STGT: คาดกระทบจำกัด จากการสอบถามทาง STGT พบว่าปัจจุบัน STGT มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกถุงมือยางไปสหภาพยุโรปราว 21% ของรายได้รวม/ปี ซึ่งทาง STGT ประเมินว่าบริษัทเดินเรือจะใช้เส้นทางขนส่งผ่านแหลมกู้ดโฮปหรือเส้นทางอื่นแทนไปก่อน


 STA: คาดกระทบจำกัด จากการสอบถามทาง STA พบว่าปัจจุบัน STA มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกยางพาราและถุงมือยางไปสหภาพยุโรปราว 12% ของรายได้รวม/ปี ซึ่งทาง STA ประเมินว่าบริษัทเดินเรือจะใช้เส้นทางขนส่งผ่านแหลมกู้ดโฮปหรือเส้นทางอื่นแทน


 TU: คาดกระทบจำกัด ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไปสหภาพยุโรปราว 3% ของรายได้รวม ทั้งนี้ TU มีโรงงานแปรรูปทูน่าที่ประเทศเซเชลส์ ซึ่งผลิตทูน่าสุกแช่แข็ง (Tuna Loin) เพื่อส่งออกไปสหภาพยุโรป เพื่อผลิตทูน่ากระป๋อง คิดเป็นสัดส่วนราว 5% ของรายได้รวม ทำให้ TU มีสัดส่วนรายได้ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทั้งสิ้นราว 8% ของรายได้รวม/ปี ทั้งนี้ จากการสอบทาง TU พบว่าบริษัทเดินเรือจะใช้เส้นทางขนส่งผ่านแหลมกู้ดโฮปแทนไปก่อน ส่วนค่าขนส่งสำหรับสินค้าที่จ่ายไปแล้วก็จะไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่สำหรับการขนส่งสินค้าใหม่อาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง โดยรวมแล้วคาด TU ยังบริหารจัดการได้  


TFG: คาดกระทบจำกัดเช่นกัน จากการสอบถามทาง TFG พบว่าปัจจุบัน TFG มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไก่ไปสหภาพยุโรปราว 6% ของรายได้รวม/ปี ซึ่งทาง TFG ประเมินว่าปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขได้ใน 1-2 สัปดาห์ 


GFPT: คาดกระทบจำกัดเช่นกัน จากการสอบถามทาง GFPT พบว่าปัจจุบัน GFPT มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไก่ไปสหภาพยุโรปราว 5% ของรายได้รวม/ปี  CPF: คาดกระทบจำกัดเช่นกัน จากการสอบถามทาง CPF พบว่าปัจจุบัน CPF มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไก่ไปสหภาพยุโรปเพียง 2% ของรายได้รวม/ปี


ขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนฯ KCE: ได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากสัดส่วนที่บริษัทรับผิดชอบขนส่งเป็น 40% ของคำสั่งซื้อทั้งหมด (และลูกค้ารับผิดชอบเอง 60%) โดยในส่วนที่ KCE รับผิดชอบจะเป็นการส่งทางอากาศ 40% และทางเรือ 60% ทำให้รายได้ที่ใช้การขนส่งทางเรือที่ KCE รับผิดชอบคิดเป็น 24% ของรายได้รวม โดย KCE มีสัดส่วนรายได้ส่งไปสหภาพยุโรป 55% ของรายได้รวม/ปี ทำให้ Net exposure คิดเป็น 13% ของรายได้ทั้งหมด


DELTA: คาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัด โดย DELTA มีลูกค้าสหภาพยุโรปราว 12% ของรายได้รวม/ปี โดยคาดว่าบริษัทขนส่งจะเปลี่ยนเส้นทางไปขนส่งผ่านแหลมกู้ดโฮปหรือเส้นทางอื่นแทนไปก่อน ซึ่งจะส่งผลให้ระยะการส่งมอบสินค้านานขึ้นราว 1-2 สัปดาห์ 


 SVI: คาดว่าจะกระทบจำกัด ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 80% ในสหภาพยุโรป แต่การขนส่งและนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่กว่า 90% เป็นการขนส่งทางอากาศเป็นหลัก ทำให้ให้ Net exposure จากการขนส่งทางเรือไปยุโรปคิดเป็นเพียงราว 5% ของรายได้ทั้งหมด


 HANA: คาดกระทบจำกัด เนื่องจากไม่ได้มีลูกค้าอยู่ในสหภาพยุโรป โดยลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่กว่า 80% อยู่ในทวีปอเมริกาและเอเชียเป็นหลัก แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากลูกค้าบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand

แท็กบทความ

เรือยักษ์
เรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ
ค่าระวางเรือ
ขนส่งสินค้าบล.เอเซียพลัส