
สรุปข่าว
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล. ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า การกระจายสินทรัพย์เพื่อลงทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารสินทรัพย์ ยังเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด ในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวช้าจากการกลับมาระบาดของโควิด -19 รอบ 3 ที่รุนแรงขึ้น ในสภาวะการณ์เช่นนี้ ทรีนีตี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นไทย 20% (เน้นหุ้นปันผลดี) ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB ขึ้นไปประมาณ 30-40%
สำหรับสัดส่วน อีก 10-20% ลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลทรีนีตี้ เอเชียน ไพรเวทฟันด์ เพราะเป็นกองทุนที่จะลงทุนในหุ้นจีนในสัดส่วนที่สูงเป็นการกระจายความเสี่ยงเพื่อรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ลงทุนทองคำในสัดส่วน 5% และส่วนอีก 20-30 % ถือเป็นเงินสดเพราะในภาวะที่ตลาดหุ้นยังมีความผันผวนสูง การถือเงินสดจะสร้างโอกาสที่ดีให้กับนักลงทุนให้มีจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงมา

“ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการระบาดโควิด-19 รอบ 3 ที่ยอดผู้ป่วย ต่อวันพุ่งเกิน 2,000 คน และอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้เริ่มเห็นหลายสำนักสำคัญทางเศรษฐกิจได้ออกมาปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ลงแล้ว ซึ่งในขณะที่ประเมินว่า จีดีพีปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 2% และประเมินกำไรตลาดหุ้นที่ 81 บาท และดัชนีที่ 1,600 จุด "
สำหรับนักลงทุนที่มีความสนใจจะกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศเพื่อรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีนที่อาจจะเติบโตในระดับ 7-8% ต่อปี ในปีนี้สามารถลงทุนผ่าน บล.ทรีนีตี้ ได้ โดยขณะนี้ได้เปิดขายกองทุนส่วนบุคคล “ทรีนีตี้ เอเชียน ไพรเวทฟันด์ (ex-Japan) : Series 3” ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 12 พ.ค. นี้ นักลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำ 2 ล้านบาท มีระยะเวลาในการลงทุน 1 ปี (1 มิ.ย.64- 31 พ.ค.65) คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนตลอดระยะเวลาของการลงทุนที่ระดับ 15% โดยจะเริ่มลงทุนตั้งแต่มิ.ย.
อย่างไรก็ตาม กองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น บริหารกองทุนแบบ Active Fund ซึ่งเน้นลงทุนหุ้นรายตัว ที่มีคุณภาพและมีศักยภาพในการเติบโตและมีมูลค่าเพิ่ม ผู้จัดการกองทุนจะมีการปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่มีการเติบโตระยะยาว (Thematic) ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งกลยุทธ์การบริหารกองทุนในลักษณะนี้ทำให้ผลดำเนินงานของกองทุน มีผลตอบแทนย้อนหลังเหนือกว่าตลาด (Benchmark) และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ในแง่ Absolute Returns การลงทุนที่ผ่านมาถือว่าดีกว่าการลงทุนใน ETF โดยตรงเพราะเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานเฉพาะบริษัท

ขณะเดียวกันกองทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น 18.5% ลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ 13.7% กลุ่มคอนซูเมอร์ และ 13.2% กลุ่มสถาบันการเงิน เป็นต้น นอกจากนี้กองทุนยังลง
ทุนในกลุ่มแบตเตอรี่ที่ได้ประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน กองทุนส่วนบุคคล“ทรีนีตี้ เอเชียน ไพรเวทฟันด์ (ex-Japan): Series 2” ระยะลงทุนตั้งแต่ 1 มิ.ย.63 - 31 มี.ค.64 ให้ผลตอบแทนที่ระดับ 41 % ขณะที่ Series 1 ซึ่งลงทุนไปแล้วเมื่อ 2 พ.ค.62 ถึง 31 พ.ค.63 ให้ผลตอบแทน 8.1% และหากนับตั้งแต่เริ่มกองทุนถึงปัจจุบัน (2 พ.ค. 62 - 31 มี.ค. 64) กองทุนนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 49.5% สูงกว่า ตลาดที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 27.3%
นอกจากนี้กองทุนนี้ได้มีการทำป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนโดยทำสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าเต็มจำนวน เมื่อโอนเงินออก แต่ยังมีความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และแลกเปลี่ยนสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งเกิดจากการลงทุนในแต่ละประเทศ
- "โควิด19"แพร่ระบาดพ้นจุดสุงสุด แนวโน้มเริ่มลดลง
- โควิดปีนี้ระบาดหนักกว่าปีก่อน คิวต่อไปคือ RSV อยู่ยาวถึงพ.ย.
- กทม.โควิดระบาดหนัก รร.ราชวินิตบางแก้ว สั่งเรียนออนไลน์ 26 - 28 พ.ค.
- ติดโควิดหาหมอผ่านออนไลน์ ฟรี! 3 แอปฯ ดาวน์โหลดได้ที่นี่
- โควิด-19 ระบาดขาขึ้น คาดลากยาว 2 - 3 เดือน ชลบุรี - กทม. แชมป์ป่วย
- สปสช. ชี้แจงป่วยโควิดหาหมอออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสทุกราย
- โควิดสายพันธุ์ XEC ไม่รุนแรง แต่ระบาดได้ ยังต้องระวัง
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand