ไทยเร่งผลักดันสถานบันเทิงครบวงจร มาเก๊าสนลงทุนกาสิโน

สรุปข่าว

รัฐบาลชุดนี้มีนโนบายผลักดันสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ  ตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยมีการนำเสนอรไปยังคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2567 และกำลังจะมีการออกกฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติ(พรบ.) ขึ้นมาดูแลเป็นการเฉพาะ

ไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิง และการพนันอยู่ 3 ฉบับคือ 1.พรบ.สถานบริการ 2.พรบ.การพนัน  และ 3.พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงื่อนไขการพนัน แต่กฎหมายทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวไม่ครอบคลุมธุรกิจที่จะจัดให้มีขึ้นในสถานบันเทิงครบวงจร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ เพื่อดูแลและส่งเสริมอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกลุ่ม Fun Economy ของประเทศเป็นการเฉพาะ 

ขณะนี้ “กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติ(พรบ.)การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ระหว่างวันที่ 2-18 สิงหาคม 2567” 

ร่างพรบ.ดังกล่าว  ระบุถึงความจำเป็นในการผลักดันกฎหมายว่า ไทยจำเป็นต้องหารายได้ให้เพิ่มขึ้น หลังจากที่รายได้ประชาชนและรัฐบาลได้รับผลกระทบจากโควิด 19 โดยรัฐบาลมองว่า อุตสาหกรรมกลุ่ม Fun Economy ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การท่องเที่ยว กีฬา สถานบันเทิง ธุรกิจ และการประชุมสัมมนาหรือไมซ์ (MICE) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และไทยมีศักยภาพในการต่อยอดการสร้างสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนเป็นส่วนหนึ่ง ของสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่และสร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ

สำหรับร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจร มีทั้งหมด 65 มาตรา  ครอบคลุมตั้งแต่การแต่งตั้งคณะกรรมการสถานบันเทิงครบวงจร โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน การตั้งคณะกรรมการบริหาร การตั้งสำนักงานขึ้นมกำกับดูแล การผลักดันการลงทุน  ค่าใบอนุญาต การให้สัมปทาน และบทลงโทษหากทำผิดกฎหมาย 


สำหรับในเรื่องการผลักดันการลงทุน ในหมวด 6 ของร่างพรบ. ระบุว่า  การอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิงครบวงจรกำหนดให้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่กำหนด “โดยต้องมีสถานบันเทิงอย่างน้อย 4 ประเภทและกาสิโน ซึ่งผู้ประกอบการต้องเป็นนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท และได้รับยกเว้นจากกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ใบอนุญาตมีอายุ 30 ปี และอาจต่ออายุได้ไม่เกินครั้งละ 10 ปี” ผู้รับใบอนุญาตต้องเริ่มดำเนินกิจการภายในเวลาที่กำหนดและมีมาตรการควบคุมกาสิโนที่เหมาะสม มิฉะนั้น อาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต

ในมาตรา 3 นิยามคำว่า กาสิโน หมายความว่า การจัดให้มีการเข้าเล่นหรือการเข้าพนันในสถานที่ที่กำหนดเป็นการเฉพาะ 

ในร่างพรบ.ดังกล่าวได้มีบัญชีแนบท้ายธุรกิจสถานบันเทิงประกอบด้วย 1. ห้างสรรพสินค้า 2. โรงแรม 3. ร้านอาหาร ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ หรือบาร์ 4. สนามกีฬา 5. ยอร์ชและครูซซิ่งคลับ 6. สถานที่เล่นเกม 7. สระว่ายน้ำและสวนน้ำ 8. สวนสนุก 9. พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP 10. กิจการอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

นอกจากนี้ในหมวด 7 ระบุว่า การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงในสถานบันเทิงครบวงจรต้องเป็นไปตามบัญชีแนบท้ายกฎหมาย ห้ามจัดให้มีการเล่นพนันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และต้องกำหนดเขตบริเวณของกาสิโนอย่างชัดเจน ห้ามบุคคลที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปเล่น ไม่ได้ลงทะเบียนเข้ากาสิโน ผู้ฝ่าฝืนต้องชำระค่าปรับและอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตได้

ทั้งนี้ในร่างพรบ.ดังกล่าว มีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ แนบท้ายกฎหมายไว้หลายอัตรา 

-การขอรับใบอนุญาต ครั้งละ 100,000 บาท,ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ 100,000 บาท

-ใบอนุญาต ครั้งแรกฉบับละ 5,000 ล้านบาท ต้องเสียรายปี 1,000 ล้านบาท/ปี  

-ใบอนุญาต (ต่ออายุ) ฉบับละ 5,000 ล้านบาท ต้องเสียรายปี 1,000 ล้านบาท/ปี  

-รวมถึงมีการกำหนดค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย ครั้งละ 5,000 บาท ส่วนชาวต่างชาติไม่มีข้อกำหนดตรงนี้ 

 

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทย ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีการศึกษาสถานบันเทิงครบวงจรทั้งจากสิงคโปร์ มาเก๊า ฟิลิปปินส์ เวียดนาม คาดว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ประกอบด้วย

1.ดึงดูดการลงทุนมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทต่อแห่ง

 2.เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและระยะเวลาพำนัก รวมถึงเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 

3.เพิ่มรายได้ของธุรกิจจากสถานบันเทิงครบวงจร ได้รายได้จากการเล่นคาสิโน และรายได้จากบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

4.สร้างงานและกระจายรายได้ ก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมในอุตสาหกรรมบริการ 

 5.เพิ่มการหมุนเวียนปริมาณเงินในระบบ และการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลที่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่ม

 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า รายได้ของผู้ประกอบการอยู่ระหว่าง 56,250-82,917 ล้านบาท และรายได้ของรัฐบาลอยู่ระหว่าง 32,388-38,022 ล้านบาท ทำให้รายได้รวมอยู่ระหว่าง 88,638-120,938 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้บริการ(ร้อยละ10-30) และอัตราภาษีกาสิโน (ร้อยละ 15-20)

โครงสร้างรายได้จะแบ่งเป็นของผู้ประกอบการสถานบันเทิงครบวงจรและรัฐบาล โดยรายได้ของผู้ประกอบการสถานบันเทิงครบวงจรจะมาจากการเล่นเกม (Gross Gaming Revenue หรือ GGR) หรือเงินที่ได้จากการเล่นพนันคืนประมาณร้อยละ 50-70 ของรายได้รวม ขณะที่รายได้จากการให้บริการอื่น ๆ จะเฉลี่ยอยู่ในช่วง ร้อยละ 30-50 ของรายได้รวม

ส่วนรัฐบาลจะได้รายได้จากภาษีกาสิโน ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และค่าธรรมเนียมการเข้าใช้บริการคาสิโน ซึ่งเก็บเฉพาะคนท้องถิ่น เพื่อจำกัดการเข้าถึงเฉพาะกลุ่ม แต่จะไม่เก็บนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า ท่าเรือคลองเตย ซึ่งมีพื้นที่ 2,353 ไร่ สามารถนำพัฒนาเป็นสถานบันเทิงครบวงจรขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาสร้างประมาณ 3-4 ปี โดยจะมีขนาดใกล้เคียงกับ The Venetian Macao ของมาเก๊า ที่มีมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 9 หมื่นล้านบาท แต่จะเล็กกว่า Entertainment Complex ที่ประเทศสิงคโปร์ ได้แก่ Marina Bay Sands และ Resort World Sentosa มีขนาดใหญ่กว่าไทยเกือบ 2 เท่า

 

พาไปดูความเห็นจากต่างชาติกันบ้าง มีรายงานเชิงลึกของบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ซีแอลเอสเอ (CLSA) จากฮ่องกง เผยแพร่เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า โครงการสถานบันเทิงครบวงจรของไทย คาดว่าสร้างรายได้รวมจากการเล่นพนัน (GGR) ของไทย จะอยู่ในช่วง 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 30,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 300,000 ล้านบาท ถึงกว่า 1,090,000 ล้านบาท) โดยคาดการณ์กรณีฐาน (กรณีปกติไม่มีปัจจัยเหนือคาด) รายได้จะอยู่ที่ประมาณ 15,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 534,00 ล้านบาท)

นอกจากนั้น CLSA วิเคราะห์ว่า การเปิดสถานบันเทิงครบวงจรของไทยจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกาสิโนในมาเก๊า แต่กลับเป็นโอกาสมากกว่า หากผู้ประกอบการจากมาเก๊าสามารถคว้าใบอนุญาตเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย


มีรายงานว่า นักลงทุนต่างชาติหลายรายแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในไทย และจากรายงานของ CLSA  พบว่า ส่วนใหญ่เป็นบริษัทผู้รับสัมปทานในมาเก๊า 4 ราย  คือ กาแลกซี่ เอนเตอร์เทนเมนต์ (Galaxy Entertainment Group), เอ็มจีเอ็ม ไชน่า (MGM China), แซนด์ส ไชน่า (Sands China) และวินน์ มาเก๊า (Wynn Macau) อีก 1 ราย คือ Las Vagas Sands ที่ลงทุนในสหรัฐฯ เป็นหลัก

บิลล์ ฮอร์นบักเคิล (Bill Hornbuckle) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานบริษัท เอ็มจีเอ็ม รีสอร์ตส อินเตอร์ เนชันแนล โฮลดิงส์ (MGM Resorts International Holdings, Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเอ็มจีเอ็ม ไชน่า ได้แจ้ง ต่อนักลงทุนในระหว่างการรายงาน ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ว่า สนใจตั้งกิกาสิโนในไทย และวางแผนจะเดินทางมาเยือนประเทศไทยภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อสำรวจโอกาสและความเป็นไปได้ พร้อมบอกรายละเอียดว่า หากในที่สุดแล้วบรรลุข้อตกลง กิจการกาสิโนในไทยจะดำเนินการโดยบริษัทลูก คือ เอ็มจีเอ็ม ไชน่า

และเมื่อช่วงเดือนมิ.ย. ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ได้พบกับ Pansy Ho ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท MGM China ที่จะมาตั้งสำนักงาน MGM ในประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวมาเก๊า และพิจารณาโอกาสการลงทุนเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) ในไทย 

ส่วนนักลงทุนจากสหรัฐฯ เว็บไซต์ข่าวด้านการพนันในสหรัฐอเมริกา agbrief.com รายงานช่วงเดือนเม.ย.ปีนี้ ว่า นายร็อบ โกลด์สตีน ประธานผู้บริหาร บริษัท ลาสเวกัส แซนด์ (Las Vagas Sands) บริษัทบริหารกาสิโน ที่เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า สนใจลงทุนกาสิโนถูกกฎหมายในไทย ภายใต้โครงการ สถานบันเทิงครบวงจร Entertainment Complex  โดย ร็อบ ตั้งข้อสังเกตว่าการเปิดกาสิโนในประเทศไทยอาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าในญี่ปุ่น หลังนักวิเคราะห์บางคนชี้ให้เห็นว่ากาสิโนแห่งแรกในไทยสามารถเปิดได้ในปี 2572 ก่อนหน้า MGM Osaka ในญี่ปุ่น ซึ่งมีกำหนดจะเปิดให้บริการในปี 2573

 

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand