ไทยเริ่มเก็บ "ภาษีความหวาน" ภายใต้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลง
มีผลสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลมากกว่า 20 ช้อนชาต่อวัน เกินกว่าค่าที่องค์การอนามัยโลก(WHO) กำหนดไว้ว่าไม่ควรเกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม ไปหลายเท่าตัว
ภาษีความหวานกำหนดเป็น 4 ระยะ ในแต่ระยะเว้นห่าง 2 ปี โดยจะมีการปรับขึ้นภาษีตามปริมาณน้ำตาลแบบขั้นบันได
ระยะที่ 1: เริ่มวันที่ 16 กันยายน 2560 – 30 กันยายน 2562
ระยะที่ 2: วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2566 เดิมสิ้นสุดในปี 2564 แต่ในช่วงนั้นเพิ่งเกิดโควิดระบาด ทำให้ครม.ในสมัยนั้นมีมติคงอัตราภาษีในระยะที่ 2 ไว้ก่อน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชน
ระยะที่ 3: วันที่ 1 เมษายน 2566 – 31 มีนาคม 2568
ระยะสุดท้ายคือ ระยะที่ 4: เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป โดยอัตราภาษีเริ่มเก็บภาษีคิดตั้งแต่น้ำตาล 6 กรัมต่อ 100 มล.ขึ้นไป ไล่ระดับภาษีจาก 1-5 บาทต่อลิตร ยิ่งหวานมาก ยิ่งเสียภาษีสูง
สรุปข่าว
ไทยเริ่มเก็บ "ภาษีความหวาน" ภายใต้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลง
มีผลสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลมากกว่า 20 ช้อนชาต่อวัน เกินกว่าค่าที่องค์การอนามัยโลก(WHO) กำหนดไว้ว่าไม่ควรเกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม ไปหลายเท่าตัว
ภาษีความหวานกำหนดเป็น 4 ระยะ ในแต่ระยะเว้นห่าง 2 ปี โดยจะมีการปรับขึ้นภาษีตามปริมาณน้ำตาลแบบขั้นบันได
ระยะที่ 1: เริ่มวันที่ 16 กันยายน 2560 – 30 กันยายน 2562
ระยะที่ 2: วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2566 เดิมสิ้นสุดในปี 2564 แต่ในช่วงนั้นเพิ่งเกิดโควิดระบาด ทำให้ครม.ในสมัยนั้นมีมติคงอัตราภาษีในระยะที่ 2 ไว้ก่อน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชน
ระยะที่ 3: วันที่ 1 เมษายน 2566 – 31 มีนาคม 2568
ระยะสุดท้ายคือ ระยะที่ 4: เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป โดยอัตราภาษีเริ่มเก็บภาษีคิดตั้งแต่น้ำตาล 6 กรัมต่อ 100 มล.ขึ้นไป ไล่ระดับภาษีจาก 1-5 บาทต่อลิตร ยิ่งหวานมาก ยิ่งเสียภาษีสูง
ผลการศึกษา สสส. ระบุว่า หลังไทยใช้มาตรการภาษีความหวาน คนไทยมีแนวโน้มลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีความหวาน ส่วนผู้ผลิตเครื่องดื่ม มีการปรับสูตรใช้ความหวานน้อยลง โดยพบว่า “ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในตลาดปรับสูตรลดน้ำตาลเพิ่มขึ้น ร้อยละ 35”
สสส.ร่วมมือแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ LINE MAN Wongnai ในการลดความหวานมา พบว่า “มีร้านค้าเข้าร่วมกว่า 60,000 ร้านทั่วประเทศ มียอดสั่งเครื่องดื่มแบบหวานน้อยมากถึง 30 ล้านแก้ว หรือคิดเป็นร้อยละ 58 ของยอดสั่งเครื่องดื่มทั้งหมด และมีอัตราการสั่งแบบไม่หวานเลย เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 160 เมื่อเทียบระหว่างปี 2566 และ ปี 2567”
พบว่าการลดความหวานคนไทย สามารถช่วยคนไทยลดการบริโภคน้ำตาลได้มากถึง 120 ตัน ส่งผลให้ลดการแจกซองเครื่องปรุงไปได้กว่า 120 ล้านซองตามไปด้วยเช่นกัน
ผลการวิจัย สสส. ยังระบุว่า ปัจจัยเรื่องราคามีผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องดื่ม โดยคนไทยร้อยละ 70.5 จะเปลี่ยนแปลงการดื่มหากราคาสูงขึ้น แต่จะดื่มยี่ห้อเดิมแต่ลดปริมาณลงร้อยละ 39.4 มีบ้างที่เลิกดื่มที่มีรสหวนร้อยละ 22.9 และดื่มยี่ห้อเดิมแบบใส่สารทดแทนความหวานร้อยละ 4.7 และดื่มประเภทอื่น เช่น ชงสดร้อยละ 3.5
พบว่าคนไทยมีใช้ค่าใช้จ่ายซื้อเครืองดื่มที่มีรสหวานเฉลี่ย 23.55 บาทต่อวัน แต่ถ้าหากมีการปรับขึ้นราคาจะรับได้เฉลี่ยไม่เกิน 31.24 บาท
มีประชาชนหลายคน ระบุว่า ยังต้องการดื่มเครื่องดื่มที่มีความหวาน ถ้าดูเหตุผลในการเลือกเครื่องดื่มที่มีรสหวานตามช่วงอายุ พบว่า อายุ 10-14 ปีมาจากการตลาดและรสชาติ / อายุ 15-29 ปี มาจากรสชาติและ ราคา / ส่วน อายุ 30-44 ปีมาจากเรื่องราคา และการเข้าถึงที่ง่าย / ส่วนอายุ 45-59 ปีเป็นเรื่องการตลาดที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย สุขภาพ
ส่วนตราสัญลักษณ์ ”ทางการเลือกสุขภาพ” ในเครื่องดื่มพบว่าเครื่องดื่มที่ได้รับการรับรอง 3 อันดับคือ 1. ชาเขียวบรรจุขวด 2.น้ำอัดลมบรรจุดขวด น้ำตาล 0 % 3. น้ำผลไม้บรรจุขวด แต่คนไทยใช้สัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพประกอบการตัดสินใจซื้อน้อยมาก พบว่า 3 ใน 8 คนใช้ในการตัดสินใจซื้อ และ 5 ใน 8 คน ไม่ใช้ตัดสินใจ หรือไม่แน่ใจ
ผลการศึกษา สสส. แสดงให้เห็นว่า คนไทยดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานเฉลี่ยลดลง แต่ น้ำอัดลม ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกเก็บภาษีความหวาน ที่คนไทยดื่มมากที่สุด ส่วนเครื่องดื่มประเภท ชา/กาแฟชงสด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ถูกเก็บภาษี ที่คนไทยดื่มมากที่สุด
ตรงนี้ทำให้เห็นว่า มาตรการทางภาษีมีอิทธิพลในการเปลี่ยนพฤติกรรมไม่กินหวาน แม้ว่าจะไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดก็ตาม
นอกจากภาษีความหวานแล้ว อีกภาษีที่พยายามผลักดันมานานหลายปี คือ "ภาษีความเค็ม" ที่เก็บจากสินค้าที่มีปริมาณโซเดียมสูง
ล่าสุดมีการหยิบยกภาษีความเค็มมาศึกษาอีกครั้ง “กรมสรรพสามิต ระบุว่า อยู่ระหว่างการศึกษาภาษีความเค็ม โดยภายในปี 2568 คาดว่าการศึกษาจะแล้วเสร็จ และนำเสนอไปยังรัฐบาล”
รูปแบบการจัดเก็บภาษีจะจัดเก็บอัตราภาษีแบบขั้นบันได เช่นเดียวกันกับภาษีความหวาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาว่าจะกำหนดปริมาณโซเดียมเท่าใด
คาดว่าการเก็บภาษีความเค็มจะเริ่มเก็บภาษีจาก “ขนมขบเคี้ยว“ ก่อน เพราะมองว่า เป็นสินค้าไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
หลังจากนั้นขยายไปยังสินค้าอื่นๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแปรรูป และซอสปรุงรส
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เคยมีการประเมินว่า กลุ่มสินค้าที่อาจเข้าข่ายถูกเก็บภาษีความเค็ม น่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 88,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 18 ของมูลค่าตลาดอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด
จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันคนไทยบริโภคโซเดียมเกินค่ามาตรฐาน และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เช่น โรคไต ความดัน หัวใจ
โรคดังกล่าวเป็นสาเหตุหลักในการเสียชีวิตของคนไทยถึงร้อยละ 81 ของการเสียชีวิตทั้งหมด หรือมากกว่า 4 แสนรายต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สร้างความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์ถึงประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี และจะยิ่งมีความสูญเสียเพิ่มมากขึ้นเพราะคนที่ป่วยด้วยโรค NCDs มีอายุที่น้อยลง จากเดิมจะเกิดกับคนที่สูงอายุ
การเก็บภาษีความเค็มน่าจะช่วยลดปัญหาสุขภาพคนไทยมีอัตราการบริโภคเกลือเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 10 กรัมต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำถึงสองเท่า
นอกจากนี้ภาษีความเค็มลดภาระทางเศรษฐกิจด้านสาธารณสุข โรคที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมเกิน เช่น โรคไตวายและความดันโลหิตสูง สร้างภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้กับระบบสาธารณสุข การเก็บภาษีสามารถช่วยลดการบริโภคและลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพในระยะยาว
พร้อมกันนี้ยังหวังว่า ภาษีความเค็มจะกระตุ้นให้ผู้ผลิตปรับสูตรอาหาร และผลักดันให้ผู้ผลิตอาหารลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้รับอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค
มีบทเรียนจากต่างประเทศ
มีตัวอย่างของ ประเทศอย่างฮังการีและโปรตุเกสได้เริ่มใช้มาตรการภาษี คือ เก็บภาษีจากอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล หรือเกลือสูง พบว่าช่วยลดการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้จริง แต่ต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนควบคู่กัน
ที่มาข้อมูล : กรมสรรพสามิต , สสส. , กระทรวงสาธารณสุข, LINE MAN Wongnai
ที่มารูปภาพ : canva
