เวียดนาม - กัมพูชา เสี่ยงสุดในอาเซียน รับแรงกระแทก "ภาษีทรัมป์"

อาเซียน กลุ่มที่โดนหนักสุดในโลก ? 

กับการขึ้นภาษีครั้งใหม่ ครั้งใหญ่ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ

 

ไทยเราโดนไป 36  %  แต่ที่หนักกว่า คือ กัมพูชา 49  % ตามด้วยลาว 48 % เวียดนาม 46 % 

ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นภาษีเหล่านี้โดยย้ำว่า

ต้องการเอาคืนทุกชาติที่เกินดุลการค้ากับอเมริกา และอาเซียนก็เป็นกลุ่มหลักในนั้น  

และนี่คือแรงกระแทกครั้งประวัติศาสตร์ที่จะมากระทบเศรษฐกิจของพวกเรา  



ภาษีสินค้านำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่ประกาศขึ้นมาล่าสุด ที่เรียกกันง่ายๆว่าภาษีตอบโต้ 

หรือ Reciprocal Tariffs หรือภาษีแบบต่างตอบแทน 

ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เจาะจงเป็นพิเศษกับประเทศที่เกินดุลการค้า 


โดย 10 ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน โดยภาษีดังนี้  

กัมพูชา 49%

ลาว 48%

เวียดนาม 46%

เมียนมา 44%

ไทย 36%

อินโดนีเซีย 32%

มาเลเซีย 24%

บรูไน 24%

ฟิลิปปินส์ 17%

สิงคโปร์ 10%


สรุปข่าว

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศขึ้นภาษี "Reciprocal Tariffs" หรือภาษีแบบต่างตอบแทน กับสินค้าทุกรายการที่นำเข้าไปยังสหรัฐ ซึ่งอาเซียนโดนทั้งกลุ่มและสูงสุดติดระดับโลก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่าสถานการณ์นี้กระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะ เวียดนามและ กัมพูชา

ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า 

อาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่ถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีตอบโต้สูงระดับต้น ๆ ของโลก 

โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMVประเทศ กัมพูชา ลาว สหภาพเมียนมาร์ และเวียดนาม 

อย่างไรก็ตาม Reciprocal tariffs ยกเว้นการบังคับใช้กับสินค้าบางประเภท 

ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์ ยารักษาโรค ไม้แปรรูป ทองแดง ทองคำแท่ง 

และยกเว้นให้กับสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 อย่างเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์และชิ้นส่วน ปัจจุบันมีอัตราภาษีนำเข้าที่ 25%


Reciprocal Tariffs ภาษีครั้งนี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจอาเซียน 

เนื่องจากเราพึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ 

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เวียดนามและกัมพูชาเสี่ยงได้รับผลกระทบสูงที่สุด

  

ทั้งนี้ หากเวียดนามเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ไม่สำเร็จ 

เวียดนามอาจไม่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้มากเหมือนที่ผ่านมา และการส่งออกคาดหดตัว 

กระทบอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอ รองเท้า

เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เวียดนามเคยเป็นผู้ได้รับอานิสงส์หลักจากสงครามการค้าอาจจะลดน้อยลงไป 

แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์คาดยังพอมีศักยภาพดึงดูดเม็ดเงินลงทุน 

เนื่องจากมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% เท่ากันทั่วโลก

คาดการณ์ว่าการส่งออกเวียดนามปีนี้  จะหดตัวลงมาอยู่ที่ -4.5% จากประมาณการเดิมที่ 12.0% 


แต่อย่างไรก็ตาม เวียดนามก็พยายามสุดกำลัง และเป็นชาติแรกๆด้วยซ้ำที่เดินหน้าเจรจาเข้าหาสหรัฐฯก่อนประกาศภาษี

ความคืบหน้าการเจรจากับสหรัฐ ฯ ล่าสุด ณ วันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา 

รัฐบาลเวียดนามขอให้สหรัฐ ฯ เลื่อนการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ออกไปก่อน เนื่องจากอยู่ระหว่างการเจรจาการค้า 

โดยก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม เวียดนามได้ประกาศลดภาษีนำเข้ารถยนต์ ก๊าซ LNG เอทานอล 

และสินค้าเกษตรหลายรายการ เช่น แอปเปิล อัลมอนด์ เชอร์รี่ 

อีกทั้งรัฐบาลเวียดนามยังให้คำมั่นจะนำเข้า เครื่องบิน ก๊าซธรรมชาติ สินค้าไฮเทค และสินค้าเกษตรจากสหรัฐ 

จึงเป็นการแสดงความร่วมมือในการแก้ปัญหาสมดุลการค้าระหว่างสองประเทศ 

ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาเวียดนามเกินดุลสูงสุดกับสหรัฐสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คือมากถึง 

123,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.2 ล้านล้านบาท) 

เป็นรองแค่จีน สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกเท่านั้น



ขณะที่กัมพูชาซึ่งโดนขึ้นภาษีครั้งนี้มากที่สุดในอาเซียน คือ เก็บเพิ่มถึง 49  %  

แน่นอนว่าหากแก้ไขไม่ทัน จะทำให้การส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักติดลบอย่างหนัก 


ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ฉายภาพผลกระทบของกัมพูชา จาก  Reciprocal tariffs 

ชี้ว่าเสี่ยงกระทบการลงทุนกัมพูชาอย่างมาก เนื่องจากการพึ่งพาทุนจีนในระดับสูง และการส่งออกคาดหดตัว 

กระทบอุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า สินค้าสำหรับการเดินทาง

เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่พึ่งพาทุนจีนมากกว่า 50% อีกทั้งการสิ้นสุดของสิทธิประโยชน์ทางการค้าในฐานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด 

(Least Developed Country: LDC) ในปี 2029 ก็ทำให้แนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศในกัมพูชาไม่ค่อยดีนักอยู่แล้ว 

และเมื่อโดนภาษีจากสหรัฐฯ รีดเพิ่มขึ้นอีก 49% ยิ่งส่งผลให้กัมพูชามีความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงิน FDI 

หรือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้น้อยลง

การส่งออกกัมพูชา ปีนี้ คาดว่าจะหดตัวมาอยู่ที่ -5.3% จากประมาณการเดิมที่ 11.9% 


ส่วนความคืบหน้าการเจรจากับสหรัฐฯ ของรัฐบาลกัมพูชา ล่าสุด ณ วันที่ 3 เมษายน 2568  

กระทรวงพาณิชย์กัมพูชาไม่เห็นด้วยกับ reciprocal tariff 49% โดยชี้แจ้งว่ากัมพูชามีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เฉลี่ยที่ 29.4% 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์กัมพูชากำลังหาช่องทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ 


ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า Reciprocal Tariffs คาดส่งผลกระทบเชิงลบ

ต่อ GDP เวียดนามที่ 1.5%  และกัมพูชา1.4% 

และจะส่งผลต่อศักยภาพในสถานะฐานการผลิตของเวียดนามและกัมพูชาค่อนข้างมาก 

และอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลงในระยะยาวได้ 

ส่วนสองประเทศที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด คือ สปป.ลาว  0.8% และอินโดนีเซีย 0.6%  

 ผลกระทบต่ออินโดนีเซียมีจำกัด เนื่องจากประเทศเป็นตลาดใหญ่พึ่งพาการส่งออกน้อย 

และมีแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง จึงยังเป็นแต้มต่อในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ในระยะยาว


ส่วนสปป.ลาว  ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นหลัก 

ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ต้องกังวลอยู่ในกลุ่มเสื้อผ้า รองเท้า กาแฟ

แต่อย่างไรก็ดี สปป.ลาว ยังมีแรงดึงดูดในการลงทุนการผลิตพลังงานทางเลือก 

การผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรเพี่อส่งกลับไปสนับสนุนการบริโภคของจีนและประเทศใกล้เคียง



ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยส่งออกไปยังเวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชาและสปป.ลาว 

รวมมูลค่าส่งออก 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็นสัดส่วน 12% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย 

การที่เศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนชะลอตัวอาจส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศดังกล่าวได้



ส่วนบ้านเรา ประเทศไทย เอง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภาษีของทรัมป์ในครั้งนี้

จะกระทบไปยังมูลค่าการส่งออกของไทยปีนี้ ที่ 1 หมื่น 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4 แสนล้านบาท

แต่ตัวเลขดังกล่าว อาจปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาของภาครัฐ