คุณณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยผ่านรายการ WEALTH LIVE ชี้ สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่า SET Index น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังเกิด Positive Divergence และตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบไปพอสมควร คาดการณ์ว่าช่วง 2 เดือนข้างหน้า (พ.ค.-มิ.ย.) ตลาดจะได้รับแรงหนุนจากการเจรจาการค้าที่น่าจะผ่อนคลายลง และเม็ดเงินจากกองทุน Thai ESG X พร้อมคงเป้าดัชนีที่ 1,275 จุด แต่เตือนนักลงทุนอย่าชะล่าใจ เพราะหลังจบสงครามการค้า อาจมีสงครามเทคโนโลยี (Tech War) ต่อ
SET ผ่านจุดต่ำสุดทางเทคนิค - รับรู้ปัจจัยลบแล้ว
คุณณัฐพลให้ความเห็นว่า ในทางเทคนิค ตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (Low ที่ 1106 จุด) โดยสังเกตจากสัญญาณ Positive Divergence ในกราฟรายวัน (ดัชนีทำ Low ใหม่ แต่ MACD ไม่ทำ Low ใหม่) ประกอบกับมุมมองพื้นฐานที่เชื่อว่าตลาดได้สะท้อน (Priced-in) ความกังวลเรื่องการปรับลดประมาณการกำไร (Earnings Downgrade) และผลกระทบจากสงครามการค้าไปมากแล้ว ณ บริเวณ 1100 จุด โดย บล.หยวนต้า ใช้คาดการณ์ EPS ปี 2568 ที่ 85 บาทต่อหุ้น (ลดลงจากเดิมที่ 92 บาท)
สรุปข่าว
คุณณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยผ่านรายการ WEALTH LIVE ชี้ สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่า SET Index น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังเกิด Positive Divergence และตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบไปพอสมควร คาดการณ์ว่าช่วง 2 เดือนข้างหน้า (พ.ค.-มิ.ย.) ตลาดจะได้รับแรงหนุนจากการเจรจาการค้าที่น่าจะผ่อนคลายลง และเม็ดเงินจากกองทุน Thai ESG X พร้อมคงเป้าดัชนีที่ 1,275 จุด แต่เตือนนักลงทุนอย่าชะล่าใจ เพราะหลังจบสงครามการค้า อาจมีสงครามเทคโนโลยี (Tech War) ต่อ
SET ผ่านจุดต่ำสุดทางเทคนิค - รับรู้ปัจจัยลบแล้ว
คุณณัฐพลให้ความเห็นว่า ในทางเทคนิค ตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (Low ที่ 1106 จุด) โดยสังเกตจากสัญญาณ Positive Divergence ในกราฟรายวัน (ดัชนีทำ Low ใหม่ แต่ MACD ไม่ทำ Low ใหม่) ประกอบกับมุมมองพื้นฐานที่เชื่อว่าตลาดได้สะท้อน (Priced-in) ความกังวลเรื่องการปรับลดประมาณการกำไร (Earnings Downgrade) และผลกระทบจากสงครามการค้าไปมากแล้ว ณ บริเวณ 1100 จุด โดย บล.หยวนต้า ใช้คาดการณ์ EPS ปี 2568 ที่ 85 บาทต่อหุ้น (ลดลงจากเดิมที่ 92 บาท)
พ.ค.-มิ.ย. ลุ้น Rebound - ปัจจัยหนุน Thai ESG X / เจรจาการค้า
ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า คาดว่าตลาดจะมีปัจจัยหนุน ดังนี้:
- การเจรจาการค้า: เชื่อว่าอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะจัดเก็บจริงน่าจะต่ำกว่ากรอบบนที่ประกาศไว้ (เช่น 37% สำหรับไทย) เมื่อมีการเจรจาและได้ข้อสรุปที่ผ่อนคลายลง ตลาดที่ปรับลงไปก่อนหน้าควรจะฟื้นตัวกลับขึ้นมา
- กองทุน Thai ESG X: คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าประมาณ 10,000 ล้านบาท +/- ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. ซึ่งเงินส่วนนี้จะเข้าสู่ตลาดหุ้นโดยตรง (ต่างจาก Thai ESG เดิม) และน่าจะช่วยหนุนดัชนีได้ประมาณ 15 จุด
เป้าหมาย SET 1275 - เตือนความเสี่ยง Tech War / น้ำมัน
บล.หยวนต้า คงเป้าหมาย SET Index ปี 2568 ไว้ที่ 1,275 จุด อิง EPS 85 บาท (โต ~10% YoY), GDP โต 1.9%, และคาดว่าไทยจะเจรจาอัตราภาษีได้ที่ราว 20%
อย่างไรก็ตาม คุณณัฐพลเตือนว่า อย่าเพิ่งวางใจ แม้จะผ่านจุดต่ำสุด เพราะสงครามการค้าเป็นเพียงเฟสแรก และมีความเสี่ยงที่จะเกิด Tech War (สงครามเทคโนโลยี) ตามมา ซึ่งเป็นรูปแบบที่สหรัฐฯ มักใช้ ความเสี่ยงสำคัญอีกประการต่อประมาณการกำไรคือ ราคาน้ำมัน หาก Brent ต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล จะกดดัน EPS 85 บาทได้ แต่ยังเชื่อว่ากรอบ 60-70 ดอลลาร์ฯ มีความเป็นไปได้
"Sell in May" ไม่น่าเกิด - ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลด
- Sell in May: เชื่อว่าปีนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะตลาดลงมาเยอะแล้ว, Valuation ไม่แพง และแรงขายหุ้นแบงก์หลัง XD ไม่รุนแรง หากเกิดขึ้นตามสถิติ มักจะลงช่วงครึ่งแรกของเดือน พ.ค. ซึ่งจะเป็นโอกาสซื้อเพื่อลุ้นเด้งในครึ่งหลัง
- ดอกเบี้ย กนง.: (มุมมองส่วนตัว) คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งหน้า (พุธหน้า) เนื่องจาก กนง. จะปรับลดคาดการณ์ GDP ลงแรง (เหลือ 1.x%) และตลาดพันธบัตร (Bond Yield) ได้สะท้อนการลดดอกเบี้ยไปล่วงหน้าแล้ว หาก กนง. ลดดอกเบี้ย จะเป็น ลบต่อกลุ่มธนาคาร แต่เป็น บวกต่อกลุ่มไฟแนนซ์, โรงไฟฟ้า, REITs, สื่อสาร (ICT)
หุ้นเด่นน่าลงทุน:
- กลุ่มที่คาดว่ากำไร Q1/68 โตดี (QoQ & YoY):
- อาหารและเครื่องดื่ม: OSP
- ฟาร์มปศุสัตว์: CPF, GFPT
- ค้าปลีก (อุปโภคบริโภค): CPALL
- โรงพยาบาล: BDMS
- ท่องเที่ยว: CENTEL
- ไฟแนนซ์: SAWAD (Top Pick - โตจากฐานต่ำ), MTC (ดูดีเช่นกัน)
- กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง: ไฟแนนซ์, โรงไฟฟ้า, REITs, สื่อสาร (ICT)