
วิกฤตหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาหรือไม่? คำถามนี้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ในวงการการเงินโลก หลังจากบริษัทจัดอันดับเครดิต Moody’s ปรับลดความน่าเชื่อถือของหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเริ่มสั่นคลอน นักลงทุนพันธบัตรเทขายสินทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 30 ปี ที่ทะลุระดับ 5.00% เป็นครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนจากตลาดว่าความไม่เชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการคลังกำลังเพิ่มสูงขึ้น
ต้นตอของแรงกดดันนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก "Big Beautiful Bill" ร่างกฎหมายเศรษฐกิจและภาษีฉบับใหม่ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแม้ยังอยู่ในระยะต้นทาง แต่มีแนวโน้มว่าจะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันหนี้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ อยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ และในจำนวนนี้กว่า 28.6 ล้านล้านดอลลาร์ อยู่ในมือของประชาชนทั่วไปที่ถือพันธบัตรรัฐบาล รายงานจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) ประเมินว่า ร่างกฎหมายใหม่นี้อาจเพิ่มภาระหนี้อีก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ในทศวรรษหน้า และอาจสูงถึง 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ หากมาตรการลดภาษีชั่วคราวถูกขยายออกไปอีก
สรุปข่าว
วิกฤตหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาหรือไม่? คำถามนี้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ในวงการการเงินโลก หลังจากบริษัทจัดอันดับเครดิต Moody’s ปรับลดความน่าเชื่อถือของหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเริ่มสั่นคลอน นักลงทุนพันธบัตรเทขายสินทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 30 ปี ที่ทะลุระดับ 5.00% เป็นครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนจากตลาดว่าความไม่เชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการคลังกำลังเพิ่มสูงขึ้น
ต้นตอของแรงกดดันนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก "Big Beautiful Bill" ร่างกฎหมายเศรษฐกิจและภาษีฉบับใหม่ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแม้ยังอยู่ในระยะต้นทาง แต่มีแนวโน้มว่าจะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันหนี้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ อยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ และในจำนวนนี้กว่า 28.6 ล้านล้านดอลลาร์ อยู่ในมือของประชาชนทั่วไปที่ถือพันธบัตรรัฐบาล รายงานจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) ประเมินว่า ร่างกฎหมายใหม่นี้อาจเพิ่มภาระหนี้อีก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ในทศวรรษหน้า และอาจสูงถึง 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ หากมาตรการลดภาษีชั่วคราวถูกขยายออกไปอีก
นอกจากปัญหาหนี้สิน การออกมาตรการภาษีนำเข้าที่ทรัมป์เคยผลักดันกลับมาก็สร้างความกังวลเพิ่มเติม โดยนักวิเคราะห์มองว่าภาษีนำเข้าจะผลักต้นทุนสินค้านำเข้าขึ้น ทำให้ เงินเฟ้อกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง แม้ว่าในระยะสั้นข้อมูลจาก Inflation Nowcasting ของธนาคารกลางคลีฟแลนด์จะระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤษภาคมอาจเพิ่มขึ้นเพียง 0.12% เมื่อเทียบรายเดือน และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.23% แต่หากต้นทุนโครงสร้างทางการคลังไม่สามารถควบคุมได้ เงินเฟ้อในไตรมาสถัดไปอาจกลับมาทำสถิติใหม่ได้เช่นกัน
สิ่งที่ตลาดเริ่มจับตาคือ กลุ่มที่เรียกว่า Bond Vigilantes หรือ “ผู้เฝ้าระวังพันธบัตร” ซึ่งเป็นนักลงทุนที่อาจตอบโต้ต่อความเสี่ยงทางการคลังโดยการเทขายพันธบัตรระยะยาว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นอีก หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีทะลุ 5.00% ตามไปด้วย อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรวิกฤตใหม่ที่รุนแรงกว่าที่คาด
ในด้านทางเลือกนโยบาย รัฐบาลสหรัฐฯ และธนาคารกลางยังมีเครื่องมือที่สามารถใช้ประคับประคองได้ เช่น การออกพันธบัตรระยะสั้นมากขึ้นเพื่อควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน หรือที่เรียกว่า Yield Curve Control by Treasury (YCC-T) รวมถึงการพิจารณานำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) กลับมาใช้อีกครั้ง หากตลาดการเงินเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงเครียดเกินควบคุม
อย่างไรก็ตาม บางมุมมองเชิงบวกยังมีอยู่ Yardeni Research ให้ความเห็นว่า วิกฤตหนี้หากเกิดขึ้นจริง อาจไม่ได้เป็นหายนะ หากมันทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องกลับมาทบทวนนโยบายการคลังครั้งใหญ่ และวางแผนการใช้จ่ายอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในอนาคตในแง่ของความน่าเชื่อถือ
ยิ่งไปกว่านั้น Yardeni ยังแนะนำว่านี่อาจเป็น “โอกาสทองสำหรับนักลงทุนระยะยาว” ในการเข้าสะสมหุ้นคุณภาพในช่วงที่ตลาดเกิดแรงเทขาย เพราะในทุกวิกฤตที่ผ่านมา ตลาดทุนมักรีบาวด์กลับได้แรงหากนโยบายภาครัฐตอบสนองอย่างเหมาะสม