เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปี 68 มูลค่า 2.26 แสนล้านบาท ชะลอตัว กำลังซื้อหด นักท่องเที่ยวลด กดดันตลาด

เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปี 68 มูลค่า 2.26 แสนล้านบาท ชะลอตัว กำลังซื้อหด นักท่องเที่ยวลด กดดันตลาด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.26 แสนล้านบาท ขยายตัว 2% โดยเป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี 2565-2567) ที่โตเฉลี่ย 4.7% ต่อปี จากการบริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

สรุปข่าว

ยอดขายของแตละผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ผู้บริโภค ในขณะที่จำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้ง Life-cycle ของสินค้าก็สั้นลง และความภักดีต่อแบรนด์ลดลง ดังนั้น การเพิ่มความถี่ในการบริโภคเพื่อที่จะรักษายอดขาย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.26 แสนล้านบาท ขยายตัว 2% โดยเป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี 2565-2567) ที่โตเฉลี่ย 4.7% ต่อปี จากการบริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าจะน้อยกว่าที่คาด โดยแนวโน้มของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่สำคัญ มีรายละเอียดดังนี้ ยอดขายน้ำอัดลม และน้ำดื่มบรรจขวด คาดว่าจะขยายตัว 2.0% และ 2.6% ในปี 2568 ชะลอตัว ลงจากปี 2567 ตลาดน้ำอัดลม และน้ำดื่มบรรจุขวด มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 55% ของยอดขายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด

โดยปัจจัยที่หนุนให้ตลาดโตส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ปี 2568 อุณหภูมิสูงสุดจะอยู่ที่ราว 43 องศาเซลเซียส สอดคล้องกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่ระบุว่า สภาพอากาศร้อนเป็นปัจจัยบวกต่อยอดขาย  เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล คาดว่าในปี 2568 ยังโต 5.5% สูงกว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากหลายปัจจัยหนุน แม้ส่วนแบ่งตลาดของเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลจะยังเล็กมาก แต่คาดว่าส่วนแบ่งจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2563 เป็น 7% ในปี 2568

โดยมีปัจจัยหนุนจากการใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค และความต้องการเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เจาะจงขึ้น เช่น ลดปัญหาการนอนไม่หลับ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายราย ทั้งที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และนอกธุรกิจ เช่น โรงพยาบาล อาหาร เคมีภัณฑ์ หันมาทำตลาด หรือแตกไลน์สินค้าใหม่ในเครื่องดื่มประเภทนี้เพิ่มขึ้น

ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งผุ้เล่นในประเทศที่มีมากราย รวมถึงสินค้านำเข้าที่มาตีตลาดเพิ่ม ปัจจุบันมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมาก หรือกว่า 2,794 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง ด้วยสินค้าที่มีหลากหลาย Segment ขณะที่สินค้านำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.2% ต่อปี

การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ท่ามกลางสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง และมี Life-cycle ที่สั้นลง จำเป็นต้องอาศัยการทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และจูงใจให้เกิดการบริโภค สอดรับข้อมูลที่คาดว่าในปี 2568 เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะยังคงติดอันดับ TOP 3 สินค้าที่ลงทุนในสื่อโฆษณาดิจิทัลสูงสุดเมื่อเทียบ กับธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้ผู้ประกอบการมีแผนมุ่งกระจายสินค้าสู่ตลาด B2B ทั้งร้านอาหาร และเครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงแรม อีกด้วย

ในขณะที่ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1,744 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 1% โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นกลุ่มประเทศ CLMV นับเป็นการชะลอลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ที่เติบโต 6.1% ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่ม ประเทศคู่ค้าหลักอย่าง CLMV ที่เผชิญปัจจัยกดดันทางด้านสงครามทางการค้า และปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ส่งผลให้ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย เช่น ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในกัมพูชา และเวียดนาม ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นภาษี VAT ในสปป.ลาว รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจ และการเมืองในเมียนมา เป็นต้น

การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ เช่น มาเลเซีย คาดว่าจะโตต่อเนื่องจากการเข้าไปลงทุนหรือทำการตลาดเพิ่มเพื่อขยายฐานลูกค้า มีการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ขยายช่องทางจัดจำหน่าย และมีโอกาสส่งออกได้เพิ่ม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ เช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากผลไม้

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยบางส่วนได้ขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้นทำให้คาดว่าระยะต่อไปมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากฐานการผลิตไทยอาจทยอยลดลง แต่ไปเพิ่มยอดขายจากฐานการผลิตในต่างประเทศ สะท้อนจากสัดส่วนการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยไปกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทยอยลดลงจาก 76% ในปี 2561 ปรับลงมาอยู่ที่ 67% ในปี 2567

ขณะที่การส่งออกน้ำดื่มบรรจุขวดปี 2568 คาดว่าจะยังขยายตัวจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำดื่มสะอาด และได้มาตรฐานในกลุ่มประเทศ CLMV ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกเครื่องดื่มชูกำลังน่าจะได้รับแรงหนุนจากประชากรแรงงานที่มีราว 113 ล้านคน หรือคิดเป็น 63% ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งไม่เพียงเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แต่มีการปรับภาพลักษณ์สินค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม เช่น พนักงาน ออฟฟิศ ลูกค้าในตลาดอีสปอร์ต เป็นต้น

การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย นอกจากผู้ประกอบการไทยจะมีการกระจายฐานการผลิตไป ยังตลาดคู่ค้าหลักอย่างกลุ่มประเทศ CLMV แล้ว ยังต้องเสี่ยงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าที่ผลิตได้ใน ประเทศที่มีราคาต่ำกว่า เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง  น้ำผลไม้ ชาพร้อมดื่ม  นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังเผชิญกับคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคาโดยเฉพาะจีน

แม้ว่ากลุ่มประเทศ CLMV จะยังนำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากไทยมากที่สุด หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 73% แต่การนำเข้าจากจีนถึงจะมีสัดส่วนเพียง 2% แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม และกัมพูชา สะท้อนจากปี 2567 เวียดนามมีมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่า และกัมพูชามีมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมือเทียบกับปี 2564

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทย

ต้นทุนการผลิตปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาลทราย ที่ราคายังคงผันผวนจากสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมถึงบรรจุภัณฑ์ทั้งกระดาษ กระป๋อง และพลาสติก ที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้า ทั้งนี้อัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2566-2567 จะอยู่ที่ 20-30%

อัตราภาษีความหวานที่ปรับขึ้นเดือนเมษายนปี 2568 ซึ่งเป็นระยะที่ 4 ที่จัดเก็บภาษีเต็มขั้นจะกระทบต้นทุนการผลิตทที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 7.74-14.04 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นราว 1-5 บาท แตกต่างตามปริมาณน้ำตาล ขณะที่การปรับขึ้นราคาทำได้จำกัด เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง

ยอดขายของแตละผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ผู้บริโภค ในขณะที่จำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้ง Life-cycle ของสินค้าก็สั้นลง และความภักดีต่อแบรนด์ลดลง ดังนั้น การเพิ่มความถี่ในการบริโภคเพื่อที่จะรักษายอดขาย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจ

ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ที่มารูปภาพ : TNN

แท็กบทความ