"อนุสรณ์" ประเมิน "บาทแข็ง" ฉุดเศรษฐกิจ "ส่งออก" กระทบหนัก เร่งรัฐฯ "ลดดอกเบี้ย" อัดฉีดมาตรการ

"อนุสรณ์" ประเมิน "บาทแข็ง" ฉุดเศรษฐกิจ "ส่งออก" กระทบหนัก เร่งรัฐฯ "ลดดอกเบี้ย" อัดฉีดมาตรการ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวม ภาคส่งออก และภาคการท่องเที่ยว อาจทำให้ตัวเลขส่งออกขยายตัวติดลบได้ในช่วงไตรมาส 4/68 เพิ่มความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดมากยิ่งขึ้น

สรุปข่าว

รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างมียุทธศาสตร์ และเป้าหมายชัดเจน มาตรการใช้จ่ายภาครัฐต้องมีประสิทธิภาพ และระมัดระวัง ค่าเฉลี่ยของการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นทุกปี เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวม ภาคส่งออก และภาคการท่องเที่ยว อาจทำให้ตัวเลขส่งออกขยายตัวติดลบได้ในช่วงไตรมาส 4/68 เพิ่มความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดมากยิ่งขึ้น

การเร่งรัดอัดฉีดการใช้จ่ายภาครัฐ ผ่านมาตรการต่าง ๆ มีความจำเป็น และต้องดำเนินการควบคู่กับการเพิ่มปริมาณเงิน และลดอัตราดอกเบี้ย การดำเนินการผ่อนคลายทั้งมาตรการทางการเงิน และการคลัง นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท การส่งออกทองคำไม่ใช่ปัจจัยกดดันหลักให้เงินบาทแข็งค่า

“สำหรับแนวคิดการกำหนดให้มีการซื้อขายทองด้วยเงินบาท อาจถูกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ซื้อขายทองคำด้วยดอลลาร์ จะได้รับการยกเว้นภาษี แนวคิดดังกล่าว อาจไม่ได้ช่วยชะลอการแข็งค่าเงินบาทมากนัก การเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบ จะช่วยชะลอการแข็งค่าได้ดีกว่า” นายอนุสรณ์ ระบุ

พร้อมมองว่า ทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทจากการเกินดุลการค้า และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งเงินทุนระยะสั้นไหลเข้าเก็งกำไรในตลาดการเงินแล้ว ได้รับการเสริมให้รุนแรงขึ้นจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ การอ่อนตัวของดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็ยิ่งทำให้มีการโยกเงินทุนออกจากการถือครองดอลลาร์ และพันธบัตรสหรัฐฯ มาถือสินทรัพย์ทางการเงินในสกุลอื่น ๆ มากขึ้น ถือทองคำ และสินทรัพย์อื่น ๆ มากขึ้น

“หากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% มีความเป็นไปได้ ที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าทดสอบระดับ 30.50-31.00 บาท/ดอลลาร์ได้” นายอนุสรณ์ ระบุ

นายอนุสรณ์ มองว่า ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะนี้เป็นเพียงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และส่วนหนึ่งเป็นผลจากลัทธิกีดกันทางการค้าจากภาษีทรัมป์ ยังไม่ได้มีสัญญาณใด ๆ ที่จะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน และเศรษฐกิจถดถอยแบบวิกฤตซับไพร์ม (Subprime Crisis) ในเร็ว ๆ นี้

อย่างไรก็ตาม การกีดกันการค้าจากภาษีทรัมป์ และมาตรการกีดกันคนเข้าเมือง จะส่งผลกระทบอันซับซ้อนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะยาว ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง การเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง เท่ากับเป็นการบังคับให้สหรัฐฯ ผลิตสินค้าที่แทนที่ควรจะนำเข้าเพราะถูกกว่า ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ และลดมาตรฐานการครองชีพของประชาชน ขณะที่การเข้มงวดกับแรงงานเข้าเมือง ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรม และภาคก่อสร้าง

“สถานการณ์ขณะนี้ เป็นเพียงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 4.5% ลงมาสู่ระดับ 3% ในช่วงกลางปีหน้า น่าจะเพียงพอ สหรัฐอเมริกา มีหนี้สาธารณะสูงถึง 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 122% ของจีดีพี และต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็นระยะ ๆ นักลงทุนจะทยอยลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจัยดังกล่าว จะกดดันให้แนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงอ่อนค่าในระยะยาว” นายอนุสรณ์ ระบุ

นายอนุสรณ์ ยังมองว่า ในภาวะปกติ ไม่มีธุรกรรมเก็งกำไรในตลาดปริวรรตเงินตรามากเกินไป ประเทศที่มีระบบอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างเสรี (Flexible Exchange Rate System) อัตราแลกเปลี่ยน หรือค่าเงิน สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อให้อุปสงค์เงินตราต่างประเทศกับอุปทานเงินตราต่างประเทศมีความสมดุล ธนาคารกลางจึงไม่จำเป็นต้องใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา หรือตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น ภาคส่งออกอาจไม่สามารถปรับตัวทันต่อความผันผวนดังกล่าว และมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อย อาจไม่ได้ใช้เครื่องมือประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ การเข้ามาบริหารจัดการด้วยมาตรการต่าง ๆ เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท จึงมีความจำเป็น

นายอนุสรณ์ เสนอว่า รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างมียุทธศาสตร์ และเป้าหมายชัดเจน มาตรการใช้จ่ายภาครัฐต้องมีประสิทธิภาพ และระมัดระวัง ค่าเฉลี่ยของการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นทุกปี เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน หนี้สาธารณะของไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 67.9% ของจีดีพี หรือ 12.3 ล้านล้านบาท คาดว่าจะขึ้นไปแตะ 68.9% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ดังนั้น ประเทศไทยมีความเสี่ยงฐานะทางการคลังเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ และอาจถูกปรับลดอัตราเครดิตในอนาคตได้

“รัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน จึงควรหลีกเลี่ยงในการดำเนินมาตรการ หรือนโยบายใด ๆ ที่ต้องก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม และ ทบทวนการใช้จ่าย และลดงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์ปัญหาของประเทศ ไม่คุ้มค่า ควรมีแนวทางเพิ่มรายได้ให้ชัดเจน เพื่อลดปัญหาการขาดดุลงบประมาณ และการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของหนี้สาธารณะ หากไทยถูกปรับลดเครดิต จะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนสูงขึ้น” นายอนุสรณ์ กล่าวในท้ายสุด

ที่มาข้อมูล : อนุสรณ์ ธรรมใจ

ที่มารูปภาพ : TNN