"ลิซ่า" รับภารกิจช่วยชาติ โปรโมตการท่องเที่ยวไทย เป้าเพิ่มนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน สร้างรายได้ 5 แสนล้านบาท
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้เซ็นสัญญา ดึง "ลิซ่า" ช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวไทย ในฐานะของ Amazing Thailand Ambassador 1 ปีเต็ม หวังดึงต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น 10 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท
ข่าวดีสำหรับคนไทย ที่เราจะได้เห็นการท่องเที่ยวไทยถูกโปรโมตไปยังระดับโลก ผ่านคนดังอย่าง ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ศิลปินสาวชาวไทยแท้ๆ แต่ความดังเรียกว่าระดับ World Wide ระดับสากล ล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ออกมายืนยันแล้วว่า ประเทศไทยของ จะมี ลิซ่า เป็น Amazing Thailand Ambassador ที่จะมาช่วยโฆษณาประชาสัมพันธุ์การท่องเที่ยวในเมืองไทย ไปสู่สายตาชาวโลก และยกระดับการท่องเที่ยวไทยไปสู่การท่องเที่ยวระดับชั้นนำคุณภาพสูง
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ทางททท. ได้เซ็นสัญญากับบริษัท ลาวด์ (LLOUD) ของลิซ่า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขอประกาศว่า “ลิซ่า” หรือ ลลิษา มโนบาล จะมานั่งแท่นเป็น “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แอมบาสเดอร์” (Amazing Thailand Ambassador) หรือทูตการท่องเที่ยวไทย เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำคุณภาพสูง (Quality Leisure Destination) และสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว เป็นความตั้งใจของภาคการท่องเที่ยว ที่ต้องการดึงศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ และสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น
โดยผู้ว่าการ ททท. ย้ำว่า ลิซ่าจะมาเป็นตัวแทนการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์โปรโมตการท่องเที่ยว นำส่งความภาคภูมิใจของประเทศไทย โดยจุดมุ่งหมายคือ มุ่งยกระดับภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยสู่จุดหมายปลายทางคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่น และนำเสนอสินค้าเสน่ห์ไทย
โดยโครงการนี้ มีระยะเวลา 1 ปีเต็ม หรือ 12 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2568 - 29 กันยายน 2569 โดยลิซ่าจะร่วมแสดงในภาพยนตร์โฆษณา (TVC) จำนวน 1 ชิ้นงาน ความยาว 60 วินาที โดย ททท.สามารถนำไปตัดลงเป็น 30 วินาที, 15 วินาที และเทรลเลอร์ 30 วินาที จำนวนรวม 4 ชิ้นงาน รวมถึงการถ่ายภาพนิ่ง จำนวน 12 ภาพ คาดจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา TVC ในเดือนมกราคม 2569 คอนเซปต์จะล้อไปกับทิศทางสื่อสารการตลาดของ ททท. คือ “Unforgettable Experience: Healing is The New Luxury” ซึ่งจะมุ่งเน้นนำเสนอภาพของการพักกายพักใจในประเทศไทยหลังทำงานหนัก เพื่อเติมพลังอีกครั้ง
นอกจากนี้จะมีการจัดงานพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ อีเวนต์ อีก 1 งานในช่วงปลายเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งจะมีการเปิดให้แฟนคลับเข้าร่วมงานนี้ด้วย นอกจากนี้ ททท.จะผลิตสินค้าของที่ระลึก (Merchandise) สำหรับแจกฟรีในกิจกรรมทางการตลาดของ ททท.เท่านั้น
โดยทาง ททท. คาดการณ์ว่าจะได้รับกระแสตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะจากฐานผู้ติดตามอินสตาแกรมของลิซ่าซึ่งมีมากกว่า 106 ล้านรายซึ่งมีเอนเกจเมนต์สูงมาก คาดมีการเผยแพร่ภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยสู่โลกออนไลน์จำนวน 1,000 ล้านคน-ครั้ง โดยตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยจริง 5-10 ล้านคนในปี 2569 สนับสนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย คาดสร้างรายได้ราว 2.5-5 แสนล้านบาท และมีส่วนผลักดันให้รายได้รวมการท่องเที่ยวแตะระดับ 3 ล้านล้านบาทในปี 2569 เท่ากับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด
ผู้ว่าการ ททท. ระบุว่า สาเหตุที่การท่องเที่ยวตัดสินใจเลือกลิซ่าเป็นตัวแทนของประเทศไทย เพราะลิซ่าเป็นศิลปินไอคอนระดับโลก มีผลงานและความสำเร็จที่ได้รับการพิสูจน์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราจึงเชื่อมั่นว่าแอมบาสเดอร์มีอิทธิพลต่อการสื่อสารภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก โดยก่อนหน้านี้ ททท.มีการใช้พรีเซนเตอร์และเคโอแอล (KOLs) มากมาย แต่ในปีหน้าเราอยากจะดึงศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเพิ่มการมองเห็นประเทศไทยมากขึ้น
โดยก่อนหน้านี้ ถ้าเราจำกันได้ ข่าวใหญ่ที่เคยเกิดขึ้น คือ ลิซ่าเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับลูกชิ้นยืนกิน เมนูขึ้นชื่อของ จังหวัดบุรีรัมย์ รวมถึงการโพสต์รูปบนอินสตาแกรม สวมผ้าซิ่นเที่ยววัดใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังได้ถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลงร็อกสตาร์ (Rockstar) สามารถดึงนักท่องเที่ยวมาย่านเยาวราชซึ่งเป็นโลเคชันในการถ่ายทำ และทำให้ ททท.สามารถต่อยอดกระแสการเดินทางไปยังตลาดน้อย ทรงวาด เฟื่องนคร และบรรทัดทองได้อย่างดี
ทั้งนี้ททท.เปิดเผยว่า ลิซ่าสามารถสร้างมูลค่าสื่อที่ได้รับ (Earned Media Value) สูงมากๆ เช่น งานของแบรนด์ซีลีน มีมูลค่าสื่อสูงถึง 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทาง ททท.จึงคาดหวังว่าเมื่อเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาออกไปแล้ว จะช่วยขยายผลไปยังนักท่องเที่ยว และฐานแฟนคลับลิซ่าทั่วโลก จากบทบาทของลิซ่าในการเชื่อมโยงต้นทุนวัฒนธรรม อาหาร การท่องเที่ยวและบริการได้เป็นอย่างดี อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การร่วมแสดงในซีรีส์เรื่อง ไวท์ โลตัส (White Lotus) ร่วมสร้างเอนเกจเมนต์สูงมาก ทำให้สมุยเป็นเดสติเนชันที่ได้รับความนิยม มียอดจอง (Booking) การเดินทางเข้าสมุยอย่างมาก
สรุปข่าว
"ลิซ่า" รับภารกิจช่วยชาติ โปรโมตการท่องเที่ยวไทย เป้าเพิ่มนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน สร้างรายได้ 5 แสนล้านบาท
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้เซ็นสัญญา ดึง "ลิซ่า" ช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวไทย ในฐานะของ Amazing Thailand Ambassador 1 ปีเต็ม หวังดึงต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น 10 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท
ข่าวดีสำหรับคนไทย ที่เราจะได้เห็นการท่องเที่ยวไทยถูกโปรโมตไปยังระดับโลก ผ่านคนดังอย่าง ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ศิลปินสาวชาวไทยแท้ๆ แต่ความดังเรียกว่าระดับ World Wide ระดับสากล ล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ออกมายืนยันแล้วว่า ประเทศไทยของ จะมี ลิซ่า เป็น Amazing Thailand Ambassador ที่จะมาช่วยโฆษณาประชาสัมพันธุ์การท่องเที่ยวในเมืองไทย ไปสู่สายตาชาวโลก และยกระดับการท่องเที่ยวไทยไปสู่การท่องเที่ยวระดับชั้นนำคุณภาพสูง
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ทางททท. ได้เซ็นสัญญากับบริษัท ลาวด์ (LLOUD) ของลิซ่า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขอประกาศว่า “ลิซ่า” หรือ ลลิษา มโนบาล จะมานั่งแท่นเป็น “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แอมบาสเดอร์” (Amazing Thailand Ambassador) หรือทูตการท่องเที่ยวไทย เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำคุณภาพสูง (Quality Leisure Destination) และสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว เป็นความตั้งใจของภาคการท่องเที่ยว ที่ต้องการดึงศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ และสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น
โดยผู้ว่าการ ททท. ย้ำว่า ลิซ่าจะมาเป็นตัวแทนการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์โปรโมตการท่องเที่ยว นำส่งความภาคภูมิใจของประเทศไทย โดยจุดมุ่งหมายคือ มุ่งยกระดับภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยสู่จุดหมายปลายทางคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่น และนำเสนอสินค้าเสน่ห์ไทย
โดยโครงการนี้ มีระยะเวลา 1 ปีเต็ม หรือ 12 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2568 - 29 กันยายน 2569 โดยลิซ่าจะร่วมแสดงในภาพยนตร์โฆษณา (TVC) จำนวน 1 ชิ้นงาน ความยาว 60 วินาที โดย ททท.สามารถนำไปตัดลงเป็น 30 วินาที, 15 วินาที และเทรลเลอร์ 30 วินาที จำนวนรวม 4 ชิ้นงาน รวมถึงการถ่ายภาพนิ่ง จำนวน 12 ภาพ คาดจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา TVC ในเดือนมกราคม 2569 คอนเซปต์จะล้อไปกับทิศทางสื่อสารการตลาดของ ททท. คือ “Unforgettable Experience: Healing is The New Luxury” ซึ่งจะมุ่งเน้นนำเสนอภาพของการพักกายพักใจในประเทศไทยหลังทำงานหนัก เพื่อเติมพลังอีกครั้ง
นอกจากนี้จะมีการจัดงานพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ อีเวนต์ อีก 1 งานในช่วงปลายเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งจะมีการเปิดให้แฟนคลับเข้าร่วมงานนี้ด้วย นอกจากนี้ ททท.จะผลิตสินค้าของที่ระลึก (Merchandise) สำหรับแจกฟรีในกิจกรรมทางการตลาดของ ททท.เท่านั้น
โดยทาง ททท. คาดการณ์ว่าจะได้รับกระแสตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะจากฐานผู้ติดตามอินสตาแกรมของลิซ่าซึ่งมีมากกว่า 106 ล้านรายซึ่งมีเอนเกจเมนต์สูงมาก คาดมีการเผยแพร่ภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยสู่โลกออนไลน์จำนวน 1,000 ล้านคน-ครั้ง โดยตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยจริง 5-10 ล้านคนในปี 2569 สนับสนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย คาดสร้างรายได้ราว 2.5-5 แสนล้านบาท และมีส่วนผลักดันให้รายได้รวมการท่องเที่ยวแตะระดับ 3 ล้านล้านบาทในปี 2569 เท่ากับปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด
ผู้ว่าการ ททท. ระบุว่า สาเหตุที่การท่องเที่ยวตัดสินใจเลือกลิซ่าเป็นตัวแทนของประเทศไทย เพราะลิซ่าเป็นศิลปินไอคอนระดับโลก มีผลงานและความสำเร็จที่ได้รับการพิสูจน์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราจึงเชื่อมั่นว่าแอมบาสเดอร์มีอิทธิพลต่อการสื่อสารภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก โดยก่อนหน้านี้ ททท.มีการใช้พรีเซนเตอร์และเคโอแอล (KOLs) มากมาย แต่ในปีหน้าเราอยากจะดึงศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเพิ่มการมองเห็นประเทศไทยมากขึ้น
โดยก่อนหน้านี้ ถ้าเราจำกันได้ ข่าวใหญ่ที่เคยเกิดขึ้น คือ ลิซ่าเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับลูกชิ้นยืนกิน เมนูขึ้นชื่อของ จังหวัดบุรีรัมย์ รวมถึงการโพสต์รูปบนอินสตาแกรม สวมผ้าซิ่นเที่ยววัดใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังได้ถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลงร็อกสตาร์ (Rockstar) สามารถดึงนักท่องเที่ยวมาย่านเยาวราชซึ่งเป็นโลเคชันในการถ่ายทำ และทำให้ ททท.สามารถต่อยอดกระแสการเดินทางไปยังตลาดน้อย ทรงวาด เฟื่องนคร และบรรทัดทองได้อย่างดี
ทั้งนี้ททท.เปิดเผยว่า ลิซ่าสามารถสร้างมูลค่าสื่อที่ได้รับ (Earned Media Value) สูงมากๆ เช่น งานของแบรนด์ซีลีน มีมูลค่าสื่อสูงถึง 29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทาง ททท.จึงคาดหวังว่าเมื่อเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาออกไปแล้ว จะช่วยขยายผลไปยังนักท่องเที่ยว และฐานแฟนคลับลิซ่าทั่วโลก จากบทบาทของลิซ่าในการเชื่อมโยงต้นทุนวัฒนธรรม อาหาร การท่องเที่ยวและบริการได้เป็นอย่างดี อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การร่วมแสดงในซีรีส์เรื่อง ไวท์ โลตัส (White Lotus) ร่วมสร้างเอนเกจเมนต์สูงมาก ทำให้สมุยเป็นเดสติเนชันที่ได้รับความนิยม มียอดจอง (Booking) การเดินทางเข้าสมุยอย่างมาก
นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยวูบหนักจากวิกฤตความเชื่อมั่น
ลิซ่า คือความหวังครั้งใหญ่ ที่จะมาช่วยกู้ภาพลักษณ์และฟื้นการท่องเที่ยวของไทย หลังจากปีนี้ เราเจอกับวิกฤตความเชื่อมั่น ยอดนักท่องเที่ยวหายไปอย่างหนักหลุดเป้าหมาย โดยเฉพาะคนจีน
ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยือนประเทศไทยปีนี้ ไม่สดใสดั่งที่หลายฝ่ายคาดหวังและคาดการณ์เอาไว้ เนื่องจากยอดคนมาเที่ยวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยเป็นเบอร์ 1 ของไทยอย่างประเทศจีน ที่หล่นไปเป็นอันดับที่ 2 แต่ก็ยังมีความหวังหลังจากช่วงวันหยุดยาวเทศกาลวันชาติจีน หรือ โกลเด้นวีค เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว คนจีนเข้าไทยพุ่งวันละกว่า 2 หมื่นคน
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อบวกลบรวมกับทั้งปี ปรากฎว่าความคึกคักยังห่างไกลกับสิ่งที่เคยเป็นมา ข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งอัปเดท สถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่ต้นปี เริ่มจากวันที่ 1 มกราคม- 12 ตุลาคม 2568 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย แล้วทั้งสิ้น 25,096,346 คน ลดลง 7.54 % สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,159,456 ล้านบาท
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 มาเลเซีย 3,608,943 คน
อันดับ 2 จีน 3,582,322 คน
อันดับ 3 อินเดีย 1,850,318 คน
อันดับ 4 รัสเซีย 1,319,164 คน
อันดับ 5 เกาหลีใต้ 1,205,556 คน
ขณะที่หน่วยงานที่เป็นกำลังหลักสำคัญ อย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้พยายามเร่งจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องท่องเที่ยวชาวจีน เช่น การส่งเสริมภาพลักษณ์ท่องเที่ยววิถีชุมชน 5 ภาค สู่สายตานักท่องเที่ยวจีน ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยที่สื่อสารภาษาจีนได้เป็นอย่างดี เผยแพร่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียจีน ทั้ง Weibo, Douyin (Tiktok จีน) รวมถึงผลิตรายการเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ถึง 5 ช่อง
รวมไปถึงนโยบาย “Big Impact Act Fast” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนล่าสุด นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ตั้งเป้าสำหรับในช่วง 4 เดือนต่อจากนี้ จะดึงตลาดนักท่องเที่ยวจีนกลับเข้ามาเที่ยวไทยให้ได้ประมาณ 2-3 ล้านคน ภายใต้มาตรการฟื้นความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย เช่น Travel Safe, Worry Free ศูนย์รับแจ้งเหตุ 1155 ตลอด 24 ชั่วโมง และแอปพลิเคชั่น Thailand Tourist Police รองรับ 8 ภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ภาษารัสเซีย และสั่งการให้ ททท.โฟกัสไปที่ 7 ตลาดประสิทธิภาพสูง ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ควบคู่ไปกับกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ ความหวังให้ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นเครื่องจักรที่แข็งแกร่งและมั่นคงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็น “Top of Mind Destination” ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ที่มาข้อมูล : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ที่มารูปภาพ : TNN elle Vouge HBO
