"วิกฤตการเงินคนไทย" เงินเดือนหลักแสนก็ยังไม่พอใช้ ใช้เงินเดือนชนเดือน ไม่มีเงินสำรอง ไม่มีเงินเก็บ หนี้สินรุงรัง
ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับมนุษย์เงินเดือนชาวไทยทุกคน ข้อมูลล่าสุด insight มนุษย์เงินเดือน จากทางทีเอ็มบีธนชาต พบว่า วันนี้คนไทยเจอกับปัญหาครอบคลุมทุกระดับรายได้ ตั้งแต่เรื่องภาระหนี้สินเกินตัว การขาดเงินสำรองฉุกเฉิน และการขาดความคุ้มครองเมื่อเจ็บป่วย เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นว่า วิถีชีวิตของคนทำงานในยุคนี้ ยังคงมีการใช้จ่ายที่เกินตัว
มนุษย์เงินเดือนในประเทศไทย ต้องเรียกว่าสายแบกที่แท้จริง เพราะหากเรานับดูสัดส่วนของแรงงานที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศ จะพบว่ามีมนุษย์เงินเดือนอยู่มากถึง 30% จากทั้งหมด 12.5 ล้านคน และเป็นกำลังสำคัญในฐานะผู้จ่ายภาษีให้กับประเทศ เพราะสร้างรายได้ภาษีบุคคลธรรมดามากถึง 90 % หรือคิดเป็น 2.7 แสนล้านบาทต่อปี
คุณนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต มองว่ามนุษย์เงินเดือนนับเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมไทย แต่วันนี้กลับต้องแบกรับความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งภาระหนี้ การขาดเงินออมและเงินฉุกเฉิน การใช้ชีวิตเดือนชนเดือนแม้มีรายได้สูง รวมถึงความคุ้มครองที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องช่วยกันเร่งสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การวางแผนทางการเงิน ตลอดจนการเลือกเครื่องมือทางการเงิน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ถามว่าคนไทยเป็นหนี้มากน้อยแค่ไหน? คำตอบ คือ เป็นหนี้กันเยอะมาก แทบทุกวัย ข้อมูลจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) และ ttb Analytics ณ เดือนมิถุนายน 2567 พบว่า คนไทยเกือบ 40% มีหนี้ในระบบ โดยมีหนี้สินเฉลี่ยสูงกว่า 5 แสนบาทต่อคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยสร้างครอบครัวอายุ 35-60 ปี ที่มีภาระหนี้สูงที่สุด ขณะที่หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลยังคงเป็นภาระของทุกช่วงวัย แม้กระทั่งในวัยเกษียณ
สอดคล้องกับข้อมูลจากผลสำรวจ ttb Financial Health Check หรือโปรแกรมตรวจสุขภาพทางการเงินออนไลน์ของมนุษย์เงินเดือนในประเทศไทยกว่า 96,000 คน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าพฤติกรรมทางการเงินของมนุษย์เงินเดือนในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในภาวะเปราะบางทางการเงิน โดยกว่า 8 ใน 10 คน หรือราว 82% มีหนี้สิน ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วนถึง 53% รองลงมาคือหนี้รถคิดเป็น 17% และหนี้บ้าน 15%
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่า 65% ของคนที่มีหนี้ มีเงินพอหรือมีความสามารถพอจะจ่ายหนี้ได้ทั้งหมดแต่กลับไม่ยอมจ่ายหมด หันไปเลือกจ่ายหนี้ขั้นต่ำแทน จึงเป็นกลายเป็นความเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาหนี้พอกพูนและสะสม เพราะมีถูกบวกดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นว่า ได้แค่ผ่อนชำระดอกไปวันๆ เงินต้นไม่ลดลงเลย และสิ่งที่ตามมา คือ คนไทยอยู่ในวงจรกับดักหนี้ไม่มีที่สิ้นสุด และเกิดความเสี่ยงว่าจะหาเงินมาจ่ายไม่ทันไม่ไหว หรือผิดนัดชำระหนี้ได้
สรุปข่าว
"วิกฤตการเงินคนไทย" เงินเดือนหลักแสนก็ยังไม่พอใช้ ใช้เงินเดือนชนเดือน ไม่มีเงินสำรอง ไม่มีเงินเก็บ หนี้สินรุงรัง
ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับมนุษย์เงินเดือนชาวไทยทุกคน ข้อมูลล่าสุด insight มนุษย์เงินเดือน จากทางทีเอ็มบีธนชาต พบว่า วันนี้คนไทยเจอกับปัญหาครอบคลุมทุกระดับรายได้ ตั้งแต่เรื่องภาระหนี้สินเกินตัว การขาดเงินสำรองฉุกเฉิน และการขาดความคุ้มครองเมื่อเจ็บป่วย เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นว่า วิถีชีวิตของคนทำงานในยุคนี้ ยังคงมีการใช้จ่ายที่เกินตัว
มนุษย์เงินเดือนในประเทศไทย ต้องเรียกว่าสายแบกที่แท้จริง เพราะหากเรานับดูสัดส่วนของแรงงานที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศ จะพบว่ามีมนุษย์เงินเดือนอยู่มากถึง 30% จากทั้งหมด 12.5 ล้านคน และเป็นกำลังสำคัญในฐานะผู้จ่ายภาษีให้กับประเทศ เพราะสร้างรายได้ภาษีบุคคลธรรมดามากถึง 90 % หรือคิดเป็น 2.7 แสนล้านบาทต่อปี
คุณนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต มองว่ามนุษย์เงินเดือนนับเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมไทย แต่วันนี้กลับต้องแบกรับความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งภาระหนี้ การขาดเงินออมและเงินฉุกเฉิน การใช้ชีวิตเดือนชนเดือนแม้มีรายได้สูง รวมถึงความคุ้มครองที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องช่วยกันเร่งสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การวางแผนทางการเงิน ตลอดจนการเลือกเครื่องมือทางการเงิน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ถามว่าคนไทยเป็นหนี้มากน้อยแค่ไหน? คำตอบ คือ เป็นหนี้กันเยอะมาก แทบทุกวัย ข้อมูลจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) และ ttb Analytics ณ เดือนมิถุนายน 2567 พบว่า คนไทยเกือบ 40% มีหนี้ในระบบ โดยมีหนี้สินเฉลี่ยสูงกว่า 5 แสนบาทต่อคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยสร้างครอบครัวอายุ 35-60 ปี ที่มีภาระหนี้สูงที่สุด ขณะที่หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลยังคงเป็นภาระของทุกช่วงวัย แม้กระทั่งในวัยเกษียณ
สอดคล้องกับข้อมูลจากผลสำรวจ ttb Financial Health Check หรือโปรแกรมตรวจสุขภาพทางการเงินออนไลน์ของมนุษย์เงินเดือนในประเทศไทยกว่า 96,000 คน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าพฤติกรรมทางการเงินของมนุษย์เงินเดือนในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในภาวะเปราะบางทางการเงิน โดยกว่า 8 ใน 10 คน หรือราว 82% มีหนี้สิน ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วนถึง 53% รองลงมาคือหนี้รถคิดเป็น 17% และหนี้บ้าน 15%
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่า 65% ของคนที่มีหนี้ มีเงินพอหรือมีความสามารถพอจะจ่ายหนี้ได้ทั้งหมดแต่กลับไม่ยอมจ่ายหมด หันไปเลือกจ่ายหนี้ขั้นต่ำแทน จึงเป็นกลายเป็นความเสี่ยงทำให้เกิดปัญหาหนี้พอกพูนและสะสม เพราะมีถูกบวกดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นว่า ได้แค่ผ่อนชำระดอกไปวันๆ เงินต้นไม่ลดลงเลย และสิ่งที่ตามมา คือ คนไทยอยู่ในวงจรกับดักหนี้ไม่มีที่สิ้นสุด และเกิดความเสี่ยงว่าจะหาเงินมาจ่ายไม่ทันไม่ไหว หรือผิดนัดชำระหนี้ได้
หนี้สินรุงรัง เงินหรือรายได้ เลยต้องหมดไปกับการจ่ายหนี้ สิ่งที่ตามมา คือ เงินเก็บไม่มี เงินสำรองก็อย่าหวัง เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา คือ วิกฤตเท่านั้น
การเงินของมนุษย์เงินเดือนในประเทศไทย แขวนอยู่บนเส้นด้าย ใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยง ข้อมูลระบุว่า 70% ของมนุษย์เงินเดือนยังไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอ สำหรับใช้จ่ายได้ต่อเนื่อง 3–6 เดือน หากขาดรายได้ และ 80% ไม่มีความคุ้มครองทางการเงินที่เพียงพอ หากเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุไม่คาดฝัน
เงินสำรองไม่มีพอทน เงินเออมไม่มีพอเลย ข้อมูลด้านพฤติกรรมการออมพบว่า มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่มากถึง 77% ออมเงินไม่ถึง 10% ของรายได้ต่อเดือน แม้กระทั่งคนที่ดูมีรายได้ที่ดี คือ ระดับหลักแสนต่อเดือน ยังพบว่ามีมากถึง 32% ของผู้ที่มีรายได้เกิน 1 แสนบาทต่อเดือน ยังต้องใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน และอีก 16% ก็พบว่ามีรายจ่ายมากกว่ารายได้
หมายความว่า วันนี้ความไม่มั่นคงทางการเงินเกิดขึ้นแล้วกับคนไทย กับมนุษย์เงินเดือนทุกคน ทุกระดับรายได้ และรวมไปถึงทุกวัยด้วย เพราะแม้กระทั่งคนใน กลุ่ม Gen X (อายุ 45-60 ปี) และ Baby Boomers (61 ปีขึ้นไป) ก็พบว่ามากกว่าครึ่ง ยังไม่มีใครวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณ และนี่คือ สัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาวที่ไม่ใช่แค่ใครบ้างคน แต่หมายถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อเราลองเปรียบเทียบตัวชี้วัดจากอดีตถึงปัจจุบัน ย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 กับ ปี 2567 พบว่าสัดส่วนหนี้เสียเพิ่มจาก 17% ในปี 2561 เป็น 22% ในปี 2567 ตีความได้ว่าเวลานี้ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนเริ่มเปราะบางมากขึ้น ซึ่งสาเหตุมาจากรายได้โตไม่ทันรายจ่าย และการก่อหนี้เพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้น
"บันได 5 ขั้นทางออกจากวงจรหนี้" วิธี "แก้หนี้" สายเดอะแบก
อยากปลดหนี้ อยากหลุดจากวงจนภาวะหนี้ต้องทำอย่างไร ทางออกคือการ "วางแผนทางการเงิน"
ความเห็นจากคุณณัฐวรรณ อภิรัตนพิมลชัย ประธานกลุ่มกลยุทธ์ลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า จากปัญหาโครงสร้างหนี้ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าเราทุกคนจำเป็นต้องรู้จักวางแผนการเงินตั้งแต่วัยเริ่มต้นทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้ภาระหนี้ขยายตัวเกินขีดความสามารถในการชำระในระยะยาว
พร้อมแนะนำให้ผู้บริโภคบริหารจัดการหนี้อย่างมีวินัย โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยได้เสนอแนวทาง “บันได 5 ขั้นสู่การออกจากวงจรหนี้” เพื่อช่วยให้มนุษย์เงินเดือนปรับพฤติกรรมและสร้างเส้นทางสู่ความมั่นคงทางการเงินอย่างยั่งยืน ประกอบไปด้วย
บันไดขั้นที่ 1 คือ "หยุด" ก่อหนี้เพิ่ม และไม่ควรกู้หนี้ใหม่มาชำระหนี้เก่า เพราะจะยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลง
บันไดขั้นที่ 2 คือ "สรุป" รวบรวมรายการหนี้คงค้างทั้งหมด ทั้งจากบัตรเครดิต สินเชื่อ หรือหนี้นอกระบบ เพื่อมองเห็นภาพรวมของภาระทางการเงินอย่างชัดเจน
บันไดขั้นที่ 3 คือ "หาเงินก้อน" หารายได้ หาเงินที่เป็นก้อนเข้ามา เช่น โอที คอมมิชชัน โบนัส หรือแปลงสินทรัพย์บางส่วนมาเป็นเงินก้อนเพื่อชำระหนี้ โดยเลือกปิดหนี้ก้อนที่น้อยก่อน เพื่อสร้างกำลังใจ
บันไดขั้นที่ 4 คือ "รวบหนี้/รีไฟแนนซ์" การรวมภาระหนี้ให้เป็นก้อนเดียว หรือรีไฟแนนซ์ เป็นการลดภาระการผ่อนชำระรายเดือน
บันไดขั้นที่ 5 คือ "วางแผน" เพื่อวางแผนปรับโครงสร้างหนี้ (รีไฟแนนซ์) ที่มีภาระดอกเบี้ยต่ำ เช่นบ้านที่เริ่มปลอดภาระหนี้, หรือการนำรถมาขอสินเชื่อจำนำทะเบียน ซึ่งดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ที่ดอกเบี้ยสูง อย่างสินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้บัตรเครดิต
ที่มาข้อมูล : ttb analytics
ที่มารูปภาพ : Gemini 2.5 Freepik
