
สรุปข่าว
สิ้นเสียงประกาศลาออกของ ‘มิคาอิล กอร์บาชอฟ’ เจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ และผู้นำคนสุดท้ายแห่งสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 1991 ธงชาติสีแดง รูปค้อนและเคียวสีทองไขว้กัน พร้อมด้วยดาวแดงขอบทองก็ถูกปลดลงจากทำเนียบเครมลิน แทนที่ด้วยธงชาติรัสเซีย และในวันรุ่งขึ้น 15 ประเทศที่อยู่ภายใต้สหภาพโซเวียต ก็ประกาศแยกตัวออกเป็นรัฐเอกราช ถือเป็นการสิ้นสุดความเป็นสหภาพอย่างเป็นทางการ
ปิดตำนานประเทศคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่สุดของโลก เดินหน้าสู่ ‘สหพันธรัฐรัสเซีย’ หนึ่งในชาติมหาอำนาจ ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อโลกในปัจจุบัน ที่แม้จะผ่านแรงกดดันจากนานาชาติมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถล้มความแข็งแกร่งของรัสเซียได้
◾◾◾
🔴 การล่มสลายสหภาพโซเวียต
ในช่วงที่เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตกำลังตกต่ำ ‘กอร์บาร์ชอฟ’ ผู้มีความมุ่งมั่นหวังปฏิรูประบบเศรษฐกิจและการเมืองของโซเวียต ด้วยการดำเนิน 2 นโยบาย อย่าง ‘กลาสนอส์’ คือ การเปิดกว้างทางเสรีภาพในการแสดงความเห็นทางการเมือง และนโยบาย ‘เปเรสตรอยกา’ คือ การปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
การดำเนินนโยบายดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลตามที่กอร์บาชอฟคาดหวังไว้ แต่กลับทำให้ประชาชนในสหภาพโซเวียต ได้เห็นว่า ตนเองนั้นถูกกดขี่มากเพียงใดเมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หนำซ้ำนโยบาย ‘เปเรสตรอยกา’ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนได้ ทำให้ความนิยมของกอร์บาร์ชอฟตกต่ำลงเรื่อย ๆ
การประท้วงเริ่มต้นขึ้นในหลากหลายประเทศของสหภาพโซเวียต ตามด้วยการประกาศเอกราชของเอสโตเนียในปี 1988 ตามด้วยประเทศอื่น ๆ ในสหภาพโซเวียต ซึ่งภายหลังเริ่มมีการรับรองอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1990
ระหว่างนั้น มีความพยายามในการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากกอร์บาชอฟแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ผู้นำของรัสเซีย, ยูเครน และเบลารุสสมัยนั้น ได้ตระหนักถึงความเป็นรัฐอิสระของกันและกัน จึงร่วมลงนามข้อตกลงเบลาเวซา (Belavezha Accord) ในวันที่ 8 ธันวาคม 1991 ยุติความเป็นสหภาพ และประกาศแนวคิดเครือรัฐเอกราช หรือ CIS ที่จะนำเข้ามาแทนที่สหภาพโซเวียตในวันที่ 8 ธันวาคม 1991 โดยก่อตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธันวาคม หลังผู้นำทั้ง 11 ประเทศของสหภาพโซเวียตเดินทางมาคาซัคสถาน เพื่อรับหลักการของ CIS
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่าง ๆ มากมายในช่วงปลายปี 1991 ส่งผลให้กอร์บาชอฟไม่มีทางเลือก จึงต้องลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากนั้น ส่งต่ออำนาจให้กับ ‘บอริส เยลต์ซิน’ ประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซีย
◾◾◾
🔴 ‘สหพันธรัฐรัสเซีย’ ร่างใหม่ของโซเวียต
หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต หลายประเทศได้ประกาศเอกราชแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต บางประเทศได้เข้าเป็นสมาชิกของนาโต ซึ่งเป็นกลุ่มขั้วฝ่ายตรงข้ามกับรัสเซีย
‘เยลต์ซิน’ ในฐานะผู้นำรัสเซีย เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจากแบบสังคมนิยม ให้กลายเป็นรูปแบบทุนนิยมมากขึ้น ยกเลิกการควบคุมราคาสินค้า เปลี่ยนกิจการของรัฐ ให้เป็นกิจการของเอกชน
แต่ถึงกระนั้น การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจแบบฉับพลัน ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจของรัสเซียดีขึ้น เนื่องจากความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่เพียงแค่กลุ่มอภิมหาเศรษฐีเท่านั้น ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับความยากจน
นอกจากนี้ ยังเกิดการทุจริตในข่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง ทำให้ผู้ที่เคยสนับสนุนเขา หันแปรเปลี่ยนมาเป็นผู้ต่อต้าน
เหตุการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมืองที่เกิดขึ้น ทำให้ท้ายที่สุด เยลต์ซินตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียในวันที่ 31 ธันวาคม 1999 ส่งมอบอำนาจต่อให้นายกฯ ของเขา คือ ‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ อดีตสายลับ KGB ผู้ที่ปัจจุบันถูกขนานนามว่า เป็นซาร์องค์ใหม่ของรัสเซีย
◾◾◾
🔴 การก้าวขึ้นสู่อำนาจของ ‘ปูติน’
หลังปูตินก้าวขึ้นสู่อำนาจ และชนะเลือกตั้งในปี 2000 ช่วงต้น เขาได้สร้างระบอบประชาธิปไตยแบบชี้นำในรัสเซีย ด้วยการปราบปรามรัฐสภา ปราบปรามสื่ออิสระ เอาบริษัทน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของประเทศให้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ
อย่างไรก็ตาม ช่วงระหว่างปี 2000-2004 ปูตินได้วางแนวทางเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของประเทศ รวมถึงต่อรองอำนาจกับกลุ่ม ‘โอลิการ์ก’ หรือ อภิมหาเศรษฐีรัสเซีย โดยเขายังอนุญาตให้กลุ่มโอลิการ์กสามารถรักษาอิทธิพลของพวกเขาไว้ได้ตามเดิม แต่ก็แลกกับการสนับสนุนและเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลปูติน
เมื่อปูตินดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครบ 2 สมัย ปี 2008 เขาจึงได้ดัน ‘ดมิตรี เมเวเดฟ’ ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และทำให้เมเวเดฟชนะเลือกตั้ง โดยมีปูตินดำรงตำแหน่งนายกฯ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า อำนาจของปูตินยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน
GDP ของรัสเซียตั้งแต่ปี 2000-2008 พุ่งทะยานขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ทั้งนี้ ในปี 2008 ปูตินเคยกล่าวเอาไว้ว่า สองความสำเร็จในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งนายกฯ สมัยที่ 2 คือ การเอาชนะวิกฤตเศรษฐกิจโลก และการรักษาจำนวนประชากรให้คงที่ หลังประเทศต้องเผชิญภาวะประชากรถดถอยมานานถึง 20 ปี และท้ายสุดในปี 2012 ปูตินก็กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน
◾◾◾
🔴 อิทธิพลที่ยังคงอยู่
แม้รัสเซียเคยเผชิญวิกฤตต่าง ๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะการถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ หลังการเปิดปฏิบัติการทางทหารในยูเครนเมื่อปี 2022 ก็ไม่สามารถทำลายความแข็งแกร่งของรัสเซียได้ ในทางกลับกันรัสเซียก็มีอิทธิพลเหนือบางประเทศ โดยเฉพาะในเรื่อง “พลังงาน” ที่บางส่วนยังจำเป็นต้องพึ่งพารัสเซีย
Euro News Business วิเคราะห์ไว้ว่า ที่เศรษฐกิจของรัสเซียยังคงแข็งแกร่ง แม้จะถูกคว่ำบาตร เป็นเพราะรัสเซียได้เตรียมการเอาไว้แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่การคว่ำบาตรครั้งแรกจากนานาชาติ แต่พวกเขาเคยถูกคว่ำบาตรเมื่อตอนผนวกไครเมียในปี 2014 มาแล้ว
รัสเซียเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนเข้าสู่เศรษฐกิจสงคราม (War Economy) หันไปผูกสัมพันธ์การชาติตะวันออกมากขึ้น เช่น จีน เป็นต้น
ขณะเดียวกัน น้ำมันก็มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจรัสเซียไม่ล่มสลาย คริสโตเฟอร์ วีเฟอร์ CEO ของบริษัท Macro-Advisory กล่าวว่า ภาษีจากน้ำมันทำให้งบประมาณแผ่นดินมีเพียงพอที่จะนำไปลงทุนกับอุตสาหกรรมทางทหาร, การใช้จ่ายทางสังคม และงบประมาณอื่น ๆ ที่มีการขาดดุลน้อยกว่า 1% ของ GDP
นอกจากนี้ การขาดแคลนแรงงาน หลังมีการเกณฑ์ทหาร และประชาชนบางส่วนได้ลี้ภัยออกนอกประเทศ ทำให้ผู้คนในประเทศสามารถหางานได้ง่ายขึ้น อัตราการว่างงานลดลง ค่าจ้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้เป็นการกระตุ้นให้มีการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เนื่องจากประชาชนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอย และการขาดแคลนสินค้าที่เกิดจากการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เนื่องจากรัสเซียได้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงมาวางขายทดแทน
จากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สู่การเปลี่ยนผ่านเป็นสหพันธรัฐรัสเซีย หลายทศวรรษที่ผ่านมา รัสเซียได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งให้โลกได้รับรู้ว่ามีมากเพียงใด การเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 5 ของปูตินที่เกิดขึ้นในวันที่ 15-17 มีนาคม จะยิ่งตอกย้ำว่าอิทธิพลของปูตินนั้น ยังคงมีมากแค่ไหน หากเขาคว้าชัยได้ในครั้งนี้ และโลกต่อจากนี้จะต้องทำตัวอย่างไร เมื่อวิกฤตความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป
—————
แปล-เรียบเรียง: พรวษา ภักตร์ดวงจันทร์
ภาพ: Getty Images, Reuters
ข้อมูลอ้างอิง:
Wikipedia (1), Wikipedia (2), Wikipedia (3), Wikipedia (4), Wikipedia (5), Wikipedia (6), Euro News
ที่มาข้อมูล : -

TNNThailand