สรุปข่าว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การชื่นชอบใน “ความเป็นเกาหลีใต้” ของประเทศไทย นอกเหนือไปจาก K-pop K-drama หรือ K-culture ยังมีเรื่อง “การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย (Democratisation)” อีกด้วย
นั่นเพราะ เกาหลีใต้มีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มาสู่เสรีนิยมประชาธิปไตย ได้ภายใน 26 ปี ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วมาก อีกทั้งยังเป็นระบอบที่มีเสถียรภาพและความเข้มแข็ง จนได้รับการขนานนามว่า “มหัศจรรย์แห่งแม่น้ำฮัน” เลยทีเดียว
แน่นอน สิ่งนี้เป็น “Trend” ว่าด้วยเรื่องของ “การพัฒนาแบบโลกตะวันตก” แต่เมื่อพิจารณาไปที่ “ประวัติศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจการเมือง” ของเกาหลีใต้ จะพบว่า เกาหลีใต้พัฒนาแทบทุกอย่างทางเศรษฐกิจได้ แต่ประเด็น “การทำทุจริต” ยังถือว่าพัฒนามาตรการบังคับใช้ได้น้อยกว่าพอสมควร
คำถามคือ เหตุใดเกาหลีใต้จึงต้องการอะไรที่มากไปกว่านั้น อย่างเรื่องของการเรียกร้องประชาธิปไตย หรือการปราบ ปราม และ “จัดการ” ผู้ทำทุจริต “อย่างเข้มข้น” ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเช่นนี้ เกาหลีใต้ก็ยังพัฒนาให้รุดหน้าต่อไปได้ และประชาชนก็ยังอยู่ดีกินดีด้วยกันทั้งสิ้น
“สาธารณรัฐเกาหลีอยู่ในอันดับที่ 32 ในดัชนีความโปร่งใส จาก 190 ประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นตัวเลขที่แย่แต่อย่างใด กระนั้น เรายังต้องการระบบระเบียบอะไรที่ดีกว่านี้ เราหิวกระหาย ‘การรับรู้ ’ ในประเด็นนี้อย่างมากเลยทีเดียว”
หนึ่งคำศัพท์ที่น่าสนใจที่ พัค ยง มิน เอกอัคราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย นั่นคือ การที่เกาหลีใต้นั้น “หิว” บางสิ่งบางอย่าง ซึ่งสามารถตีความได้ว่า เกาหลีใต้มีความต้องการที่จะ “ยกระดับ” ดัชนีความโปร่งใส ในเวลานี้อยู่ลำดับที่ 32 ของโลก
แต่นั่น ยัง “ไม่เป็นที่พอใจ” ของพวกเขามากนัก
ตรงนี้ อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ (Markers) ได้ว่า สิ่งที่ท่านทูตพัคกล่าวไป มีความเกี่ยวข้องกับ “การแสวงหาสถานภาพ (Status-seeking)” ที่หมายถึง การไปให้ได้สูงกว่าที่เป็นอยู่ ก็เป็นได้
การแสวงหาสถานภาพนั้น ตามคำอธิบายเชิงทฤษฎี มักจะเกิดจากการที่รัฐใดรัฐหนึ่ง “ไม่ยอมรับ” หรือ “ไม่อภิรมย์ (Dissatisfaction)” สิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องด้วยศักยภาพของตนนั้น สามารถที่จะ “ไปได้สูงกว่านี้” ดังนั้น จึงต้องหมายกระทำการบางอย่าง เพื่อทำลาย “เพดานแก้ว (Glass Ceiling)” นี้ไปให้จงได้
เกาหลีใต้ เป็นประเทศหนึ่งที่ “มีประเด็น” กับเรื่อง “การทำทุจริต” มาโดยตลอด ถึงแม้ว่า จะมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหนักรุดหน้า จนได้รับฉายาเป็น “เสือแห่งเอเชีย” หากแต่ “การทำทุจริต” เป็นเรื่องที่ยังคงพบเห็นได้อยู่หลายกรณี … ที่เป็นเรื่องที่ภาครัฐ ไม่ได้นิ่งนอนใจ
ดังนั้น การแก้ลำโดยหันมาเน้นหนักที่ “การแก้ไข” เรื่องการทำทุจริต จึงเป็นหนทางที่อาจจะดีที่สุด ที่จะสร้างสถานภาพของเกาหลีใต้ได้มากยิ่งขึ้น
“การยกระดับความโปร่งใสและความรับผิดรับชอบ คือสิ่งที่เรากระทำ รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีเน้นหนักที่ Public Access ในภาคส่วนการทำงานระหว่างรัฐบาล และพัฒนาฟังก์ชันต่าง ๆ ให้สอดรับกับเรื่องดังกล่าว … อีกเรื่องที่สำคัญ นั่นคือ การยกระดับการตระหนักรู้ คณะกรรมาธิการด้านการปราบปรามคอรัปชั่นและสิทธิมนุษยชนของเรา ได้สร้างเสริมสิ่งนี้ผ่านการศึกษา เพื่อให้เห็นว่าคอรัปชั่นอันตรายเพียงใด โดยกระทำการให้เป็นเรื่องปกติในสังคมของเรา … ที่สำคัญไปกว่านั้น ในปี 2008 เราได้ตั้งสถาบันต่อต้านคอรัปชั่น ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ … เพื่อการต่อต้านการทำทุจริตโดยเฉพาะ” ท่านทูตพัคกล่าว
จากที่กล่าวในข้างต้น จะเห็นได้ว่า ส่วนสำคัญที่สุดที่จะสร้างภาคปฏิบัติเพื่อต่อต้านการทุจริต นั่นคือ “การศึกษา” เพื่อการ “กล่อมเกลา” ผู้คนให้เห็นถึง “ความรับผิดรับชอบ (Accountability)” และ “การตระหนักรู้ (Awareness)” และให้เห็นถึง “ความละอาย” ต่อการทำทุจริต
อีกทั้ง ท่านทูตพัคยังเน้นย้ำถึงเรื่อง “ความรับผิดชอบ” ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสำหรับเกาหลีใต้ ที่มีลักษณะ “สังคมแบบขงจื่อ (Confucianism)” ถือเอา “การรู้ว่าอะไรควรไม่ควร” และ “ความซื่อสัตย์สุจริต” เป็นที่ตั้ง
ดังนั้น เรื่องการทำทุจริต จึงเป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้” และ “เป็นที่อับอาย” อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในระดับประชาชน ไปจนถึง “เจ้าหน้าที่รัฐ” หากจับได้ อาจถึงขั้น “คว้านท้อง” เลยทีเดียว
แต่การที่จะสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นได้จริง ลำพังเพียงการตระหนักรู้หรือความรับผิดรับชอบ ย่อมไม่เพียงพอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้าง “กระบวนการทางกฎหมาย” ขึ้นมา ผ่านมาตรการและข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อป้องกันการทำทุจริต โดยที่ท่านทูตพัค ได้ระบุไว้ ดังนี้
“เมื่อทางการได้รับแจ้งเหตุการทำทุจริต แน่นอนว่า เราก็ต้องพิจารณาก่อนว่าต้องสงสัยหรือไม่ กฎหมายการต่อต้านคอรัปชั่นของเราได้วางมาตรการที่เข้มแข็งและชัดเจน ในประเด็นที่ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถแจ้งเหตุดังกล่าวได้โดยไม่มีการเปิดเผยชื่อและหน้าตา เพื่อความปลอดภัยของผู้แจ้งเหตุ … หากสืบสวนแล้วเสร็จ พบว่าทำทุจริตจริง ก็จะให้ตัดสินบทลงโทษต่อไป … กระนั้น ทางออกทั้งหมดหาใช่การลงทัณฑ์ หากแต่การป้องกันสำคัญเป็นที่สุด ”
ในกระบวนการทั้งหมดนี้ เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์การเมืองเกาหลีใต้ ภายหลังจากได้รับประชาธิปไตยแบบเต็มใบ จึงเห็นได้ถึง “การดำเนินการ” ประธานาธิบดีที่เคยทำทุจริตได้เป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็น ช็อน ดู ฮวัน และโน แท อู เรื่อยมาจนถึงผู้นำหญิงอย่าง พัค กึน ฮเย ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง จะสามารถเอาผิด “อดีตผู้นำประเทศ” หลายคน ให้มารับโทษแบบคนทั่วไปได้
และสิ่งนี้ ทำให้สถานภาพของเกาหลีใต้ “แปรเปลี่ยน” จากประเทศที่เติบโตเพียงเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ไปสู่ประเทศที่เติบโต “ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม” ได้อย่างแท้จริง
ทั้งยังสามารถที่จะ “เป็นต้นแบบ” ให้แก่ประเทศอื่น ๆ ทั้งในเอเชียและต่างภูมิภาค ว่าแท้จริงนั้น ความต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นเพียง “เหตุผลเดียว” ที่จะทำให้รัฐนั้นพัฒนา เพราะหากไร้ซึ่ง “ความโปร่งใส” สถานภาพที่เป็นอยู่ ย่อมไม่อาจที่จะ “สมบูรณ์พร้อม (Mature)” ได้
จึงนับเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง ในการถอดบทเรียนต่อประเทศไทย ที่ให้ความสนใจเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจมาโดยตลอด ว่าแท้จริงนั้น เราต้องการ “สถานภาพ” ที่มากกว่านี้หรือไม่
ที่มาข้อมูล : -

TNNThailand