
ผลการเลือกตั้งใหญ่ในสิงคโปร์เมื่อวานนี้ (เสาร์) ปรากฏว่า พรรคกิจประชาชน หรือพีเอพี (PAP) พรรครัฐบาลของนายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง วัย 52 ปี ชนะอย่างถล่มทลาย นับเป็นชัยชนะในการเลือกตั้งติดต่อกัน 14 สมัย ได้ที่นั่ง 87 ที่นั่งจากจำนวนส.ส.ในรัฐสภา 97 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ ยังถือเป็นบททดสอบการเลือกตั้งครั้งแรกของหว่อง ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลด้วย ส่งผลให้พรรคพีเอพี ครองอำนาจยาวนานกว่า 6 ทศวรรษในประเทศศูนย์กลางการเงินของเอเชียแห่งนี้
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นตัวบ่งชี้ความนิยมของพรรคพีเอพี ซึ่งปกครองประเทศมาตั้งแต่ก่อนที่สิงคโปร์จะได้รับเอกราชในปี 1965 ความสนใจมุ่งเน้นไปที่ว่าฝ่ายค้านจะสามารถท้าทายอำนาจอันเหนียวแน่นของพรรคพีเอพีและสร้างความก้าวหน้าต่อไปได้หรือไม่ หลังจากแทบไม่เคยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และได้ที่นั่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าพรรคพีเอพี จะกวาดชัยชนะไปได้อย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงประมาณร้อยละ 90 ของที่นั่งทั้งหมด แต่ส่วนแบ่งคะแนนนิยมของพรรคยังคงเป็นที่จับตามองในฐานะเครื่องวัดความแข็งแกร่งของอำนาจที่ได้รับจากประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ลอว์เรนซ์ หว่อง มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคะแนนเสียงของพรรคพีเอพีที่ได้ร้อยละ 60.1 ในการเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
หว่องกล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุนที่ส่งเสียงเชียร์ในการประชุมพรรคพีเอพี หลังจากผลการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งของเขาประกาศออกมาว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคพีเอพี ดังนั้น เขาจึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
สรุปข่าว
ผลการเลือกตั้งใหญ่ในสิงคโปร์เมื่อวานนี้ (เสาร์) ปรากฏว่า พรรคกิจประชาชน หรือพีเอพี (PAP) พรรครัฐบาลของนายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง วัย 52 ปี ชนะอย่างถล่มทลาย นับเป็นชัยชนะในการเลือกตั้งติดต่อกัน 14 สมัย ได้ที่นั่ง 87 ที่นั่งจากจำนวนส.ส.ในรัฐสภา 97 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ ยังถือเป็นบททดสอบการเลือกตั้งครั้งแรกของหว่อง ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลด้วย ส่งผลให้พรรคพีเอพี ครองอำนาจยาวนานกว่า 6 ทศวรรษในประเทศศูนย์กลางการเงินของเอเชียแห่งนี้
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นตัวบ่งชี้ความนิยมของพรรคพีเอพี ซึ่งปกครองประเทศมาตั้งแต่ก่อนที่สิงคโปร์จะได้รับเอกราชในปี 1965 ความสนใจมุ่งเน้นไปที่ว่าฝ่ายค้านจะสามารถท้าทายอำนาจอันเหนียวแน่นของพรรคพีเอพีและสร้างความก้าวหน้าต่อไปได้หรือไม่ หลังจากแทบไม่เคยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และได้ที่นั่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าพรรคพีเอพี จะกวาดชัยชนะไปได้อย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงประมาณร้อยละ 90 ของที่นั่งทั้งหมด แต่ส่วนแบ่งคะแนนนิยมของพรรคยังคงเป็นที่จับตามองในฐานะเครื่องวัดความแข็งแกร่งของอำนาจที่ได้รับจากประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ลอว์เรนซ์ หว่อง มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคะแนนเสียงของพรรคพีเอพีที่ได้ร้อยละ 60.1 ในการเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
หว่องกล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุนที่ส่งเสียงเชียร์ในการประชุมพรรคพีเอพี หลังจากผลการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งของเขาประกาศออกมาว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคพีเอพี ดังนั้น เขาจึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ปัญหาค่าครองชีพ และที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ หนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดของโลก เป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งเมื่อวานนี้ และยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับหว่อง ซึ่งรัฐบาลของเขาได้เตือนว่าอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้ากลายได้รับความเสียหายจากสงครามที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
ส่วนพรรคแรงงาน พรรคฝ่ายค้านหลัก ได้ 10 ที่นั่ง เท่าเดิมกับการเลือกตั้งครั้งก่อน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดของฝ่ายค้านสิงคโปร์
แม้ว่าพรรคพีเอพีจะชนะอย่างท่วมท้น แต่บรรดานักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้อาจทำให้พลวัตทางการเมืองเปลี่ยนแปลงในปีต่อ ๆ ไป หากฝ่ายค้านมีความคืบหน้ามากขึ้น ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่บางคนต้องการเห็นทางเลือกใหม่, การตรวจสอบที่มากขึ้น และการอภิปรายโต้เถียงที่เข้มข้นมากขึ้น
แต่นั่นอาจต้องใช้เวลา เช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งก่อน การเลือกตั้งในวันเสาร์เป็นการแข่งขันที่ไม่สมดุล โดยมีผู้สมัครร้อยละ 46 เป็นตัวแทนพรรคพีเอพี ซึ่งลงสมัครในทุกที่นั่ง เทียบกับ 26 ที่นั่งของพรรคแรงงาน
ที่มาข้อมูล : Reuters
ที่มารูปภาพ : Facebook: Lawrence Wong