
เมื่อวานนี้ (4 มิถุนายน) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งของประธานาธิบดีเพื่อห้ามพลเมืองจาก 12 ประเทศดังต่อไปนี้เดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งประเทศที่ถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ “โดยสมบูรณ์” ได้แก่ อัฟกานิสถา, เมียนมา, ชาด, สาธารณรัฐคองโก, อิเควทอเรียลกินี, เอริเทรีย, เฮติ, อิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน และ เยเมน
นอกจากนี้ ยังมีการ “จำกัดการเดินทางบางส่วน” สำหรับพลเมืองจาก 7 ประเทศ ได้แก่ บุรุนดี, คิวบา, ลาว, เซียร์ราลีโอน, โตโก, เติร์กเมนิสถาน และเวเนซุเอลา
คำสั่งนี้เป็นการนำนโยบายห้ามเดินทางเดิมที่เคยบังคับใช้ในปี 2017 กลับมาใช้ ซึ่งนโยบายดังกล่าวยังเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อประเทศมุสลิม ตนกระทั่งถูกยกเลิกโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในปี 2021
สรุปข่าว
เมื่อวานนี้ (4 มิถุนายน) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งของประธานาธิบดีเพื่อห้ามพลเมืองจาก 12 ประเทศดังต่อไปนี้เดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งประเทศที่ถูกห้ามเข้าสหรัฐฯ “โดยสมบูรณ์” ได้แก่ อัฟกานิสถา, เมียนมา, ชาด, สาธารณรัฐคองโก, อิเควทอเรียลกินี, เอริเทรีย, เฮติ, อิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน และ เยเมน
นอกจากนี้ ยังมีการ “จำกัดการเดินทางบางส่วน” สำหรับพลเมืองจาก 7 ประเทศ ได้แก่ บุรุนดี, คิวบา, ลาว, เซียร์ราลีโอน, โตโก, เติร์กเมนิสถาน และเวเนซุเอลา
คำสั่งนี้เป็นการนำนโยบายห้ามเดินทางเดิมที่เคยบังคับใช้ในปี 2017 กลับมาใช้ ซึ่งนโยบายดังกล่าวยังเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อประเทศมุสลิม ตนกระทั่งถูกยกเลิกโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในปี 2021
ฝ่ายบริหารของทรัมป์ระบุว่าการห้ามเดินทางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลต่างประเทศปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยและการแบ่งปันข้อมูลกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนและนักวิจารณ์หลายฝ่ายมองว่ามาตรการนี้อาจเป็นการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับคำสั่งห้ามเดินทางใหม่นี้มีกำหนดมีผลบังคับใช้ในวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2025 และคาดว่าจะเผชิญกับการท้าทายทางกฎหมายจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรต่างๆ