GCNT Expo 2025: AI-ภูมิรัฐศาสตร์-สภาพภูมิอากาศ 3 ภัยคุกคามโลก ที่ไทยต้องเร่งรับมือ

GCNT Expo 2025: AI-ภูมิรัฐศาสตร์-สภาพภูมิอากาศ 3 ภัยคุกคามโลก ที่ไทยต้องเร่งรับมือ
GCNT Expo 2025 เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ 29 กรกฎาคม - 31 กรกฎาคม โดยภายในงานมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองหลากหลายประเด็นที่เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งในเซสชันหนึ่งของการเสวนา มีการหยิบประเด็นที่เกี่ยวกับ “ภัยคุกคาม 3 ด้านที่โลกกำลังเผชิญ” ขึ้นมาพูดคุยในหัวข้อ Triple Threat : How Geopolitics, AI and Climate will Shape Our Future โดยวิทยากร 2 ท่าน คือ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถานบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  


ในการเสวนาได้กล่าวถึงภัยคุกคามทั้ง 3 ที่โลกต้องเผชิญ ประกอบด้วยภัย ภูมิรัฐศาสตร์, ปัญญาประดิษฐ์ และ สภาพภูมิอากาศ โดยช่วงแรกของการเสวนาได้มีการตั้งคำถามว่า ในยุคที่โลกต้องเผชิญกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันโดยเฉพาะการแข่งขันระหว่าง 2 มหาอำนาจของโลก คือ จีน และ สหรัฐฯ ใครจะเป็นฝ่ายชนะ ?  


คำถามดังกล่าวอาจไม่สามารถตอบได้ในช่วงเวลานี้ แต่อาจจะต้องถามในช่วงอีก 10 ปี หรืออาจจะ 30 ปี ข้างหน้าเป็นระยะยาวต่อไปในอนาคต สหรัฐฯ และจีนคือพระอาทิตย์ 2 ดวง ที่ต่างเป็นคู่แข่งที่ผลัดกันแพ้และผลัดกันชนะ โลกมองจีนเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในด้านการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อตอบโจทย์คนในปัจจุบันแต่ขณะเดียวกันปัญญาประดิษฐ์ยังต้องมีการพึ่งพาพลังการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพจากฝั่งสหรัฐฯ ที่ได้มีการยกตัวอย่างถึงบริษัท Nvidia ที่กล่าวว่าเป็นผู้ผลิตชิปที่ดีที่สุดในโลก 


                               -ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร กล่าว-


ดร.อาร์ม กล่าวด้วยว่า “เช่นเดียวกันปัญญาประดิษฐ์ก็ต้องใช้ข้อมูล หลายคนมองว่าศึกด้านข้อมูลจีนอาจเป็นผู้นำและได้เปรียบมากกว่าด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน เช่นการสร้างสังคมไร้เงินสดของจีน (Cashless Society) ที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล แต่ปัญญาประดิษฐ์ก็ต้องพึ่งพาอัลกอริทึม ซึ่งอัลกอริทึมที่ดีที่สุดคือ ChatGPT ทีม AI ของฝั่งสหรัฐฯ” ซึ่งก็สะท้อนได้ว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็สลับกันขึ้นเป็นผู้นำแต่ละอุตสาหกรรมที่ต่างกัน


สรุปข่าว

GCNT Expo 2025: AI-ภูมิรัฐศาสตร์-สภาพภูมิอากาศ 3 ภัยคุกคามโลกในปัจจุบัน ที่ไทยต้องเร่งรับมือไม่ให้ตกขบวนต่อการเปลี่ยนแปลง
GCNT Expo 2025 เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ 29 กรกฎาคม - 31 กรกฎาคม โดยภายในงานมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองหลากหลายประเด็นที่เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งในเซสชันหนึ่งของการเสวนา มีการหยิบประเด็นที่เกี่ยวกับ “ภัยคุกคาม 3 ด้านที่โลกกำลังเผชิญ” ขึ้นมาพูดคุยในหัวข้อ Triple Threat : How Geopolitics, AI and Climate will Shape Our Future โดยวิทยากร 2 ท่าน คือ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถานบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  


ในการเสวนาได้กล่าวถึงภัยคุกคามทั้ง 3 ที่โลกต้องเผชิญ ประกอบด้วยภัย ภูมิรัฐศาสตร์, ปัญญาประดิษฐ์ และ สภาพภูมิอากาศ โดยช่วงแรกของการเสวนาได้มีการตั้งคำถามว่า ในยุคที่โลกต้องเผชิญกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันโดยเฉพาะการแข่งขันระหว่าง 2 มหาอำนาจของโลก คือ จีน และ สหรัฐฯ ใครจะเป็นฝ่ายชนะ ?  


คำถามดังกล่าวอาจไม่สามารถตอบได้ในช่วงเวลานี้ แต่อาจจะต้องถามในช่วงอีก 10 ปี หรืออาจจะ 30 ปี ข้างหน้าเป็นระยะยาวต่อไปในอนาคต สหรัฐฯ และจีนคือพระอาทิตย์ 2 ดวง ที่ต่างเป็นคู่แข่งที่ผลัดกันแพ้และผลัดกันชนะ โลกมองจีนเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในด้านการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อตอบโจทย์คนในปัจจุบันแต่ขณะเดียวกันปัญญาประดิษฐ์ยังต้องมีการพึ่งพาพลังการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพจากฝั่งสหรัฐฯ ที่ได้มีการยกตัวอย่างถึงบริษัท Nvidia ที่กล่าวว่าเป็นผู้ผลิตชิปที่ดีที่สุดในโลก 


                               -ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร กล่าว-


ดร.อาร์ม กล่าวด้วยว่า “เช่นเดียวกันปัญญาประดิษฐ์ก็ต้องใช้ข้อมูล หลายคนมองว่าศึกด้านข้อมูลจีนอาจเป็นผู้นำและได้เปรียบมากกว่าด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน เช่นการสร้างสังคมไร้เงินสดของจีน (Cashless Society) ที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล แต่ปัญญาประดิษฐ์ก็ต้องพึ่งพาอัลกอริทึม ซึ่งอัลกอริทึมที่ดีที่สุดคือ ChatGPT ทีม AI ของฝั่งสหรัฐฯ” ซึ่งก็สะท้อนได้ว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็สลับกันขึ้นเป็นผู้นำแต่ละอุตสาหกรรมที่ต่างกัน


แล้วเป็นไปได้หรือไม่ที่ไทยจะรักษาสมดุลในฐานะที่เป็นพันธมิตรของ 2 ประเทศมหาอำนาจนี้ หากต้องหันไปจับมือกับ 2 ฝั่ง ควรเลือกข้างใดมากกว่ากัน...?


อย่างไรเสียต้องรักษาสมดุล โดยแบ่งการรักษาสมดุลออกเป็น 2 แบบ คือ การรักษาสมดุลเชิงรับตัวอย่างเช่น ไทยไปเจรจากับสหรัฐฯ แต่ใจหนึ่งก็ยังรู้สึกกลัวจะผิดใจกับฝั่งจีน ในกรณีนี้ที่เต็มไปด้วยความกลัวอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก แต่กลับควรเป็นการรักษาสมดุลแบบเชิงรุก ด้วยการเข้าใจโจทย์ของไทยให้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไร เช่น ต้องการเทคโนโลยีอะไร หรือ ต้องการเข้าไปอยู่ส่วนไหนของห่วงโซ่อุปทานแล้วไปเจรจากับฝั่งสหรัฐฯ และพิจารณาว่าไทยได้สิ่งที่ต้องการและเป็นผลประโยชน์ของประเทศหรือไม่ เพราะหากไม่ในอีกฝั่งหนึ่งไทยยังมีพันธมิตรคือจีน แต่ถ้าไม่ได้เราก็ยังมีสหรัฐฯ ที่ช่วยถ่วงดุลอยู่ แต่หากเป็นไปได้ก็ควรจะเชื่อมทั้ง 2 ห่วงโซ่อุปทานนี้เข้าด้วยกัน ใช้ความแข็งแกร่งจากทั้ง 2 ประเทศ” 


                                 -ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร กล่าว-


ในขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิดพลังงานสีเขียว (Green Energy) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งที่หลายประเทศกำลังหันมาสนใจมากขึ้น ซึ่ง ดร.อาร์ม  ได้ยกตัวอย่างถึงนโยบาย “Green New Deal” ของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่เป็นข้อเสนอด้านนโยบายพร้อมงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในระยะเวลา 10 ปี ไปพร้อมๆ กับแก้ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลของไบเดนได้ทุ่มเงินทุนจำนวนมหาศาลในการลงทุนกับนโยบายนี้ ดร.อาร์ม กล่าวด้วยว่า 



เมื่อการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เขากลับลำทวนและกระแสเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม” โดยทรัมป์ได้ตัดสินใจยุตินโยบาย Green New Deal ของไบเดนและต้องการเพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ กำลังหันหลังให้กับการผลักดันพลังงานสีเขียวสวนทางนโยบายของหลายประเทศหรือไม่ ? ในประเด็นนี้ ดร.อาร์ม มองว่า “ทรัมป์ไม่ได้ห้ามหรือหยุดเสียทีเดียวเพียงแค่หันไปสนับสนุนเรื่องน้ำมันและพลังงานเก่า” ดร.อาร์ม เชื่อด้วยว่า “โดยพื้นฐานแล้วสังคมก็ยังคงปรับตัวเพื่อไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำด้วย เพราะชาวอเมริกันมองว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องว่าใครจะเป็นผู้นำในเกมเศรษฐกิจและพลังงานสีเขียวในอนาคตต่อไป” 


แล้วสำหรับไทยควรรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมนี้อย่างไร ? 


 “ในอนาคตเรื่องของเทคโนโลยี แม้ว่าไทยจะเน้นเรื่องพลังงานหมุนเวียน แต่ต้องไม่ลืมว่ามีพลังงานบางประเภท เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยาก ในอนาคตภาครัฐควรใช้ทางเลือกใหม่ ๆ  เช่น เทคโนโลยีดักจับ ที่มองว่าทำได้แต่ต้องมีการศึกษาให้รอบครอบและนำไปสู่การลงทุน ต้องตั้งรับทั้งพลังงานหมุนเวียนด้วย แต่เชื้อเพลิงฟอสซิลก็ยังต้องเก็บไว้ในระดับหนึ่งเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน”  

 

                           - รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช กล่าว-



อย่างไรก็ตาม แล้วความยากของไทยคืออะไรที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงท่ามกลางภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ?  ดร.วิษณุ มองว่า “ความยากคือไทยไม่ได้มองทั้งระบบ แต่อยู่แบบจุดใครจุดมัน เป็นโครงสร้างแบบงานราชการแต่ละกระทรวดูแลประเด็นที่ต่างกัน” ดร.วิษณุ ได้ยกตัวอย่างฝรั่งเศสว่า 1 กระทรวงดูแลทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ “แต่สำหรับไทยยังคงขาดคนที่สามารถรอยเรียงข้อต่อ และสามารถชี้จุดให้ทุกภาคส่วนดำเนินนโยบายต่าง ๆ ไปในทางเดียวกัน” นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงนึงผลประโยชน์ของประเทศที่ทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์อย่างแท้จริงด้วย  

ในขณะที่แนวทางทั้งต่อภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ ก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นไปด้วยกันรวมไปถึงการยกระดับอุตสาหกรรมทั้งหมดควรมีการประบตัวอย่างไร ?  


ดร.อาร์ม มองว่า “ควรต้องแยกให้ชัดว่าอะไรคือการคิดแบบระยะสั้น (Short Term  Thinking) และอะไรคือการคิดแบบระยะยาว (Long Term  Thinking) เพราะตอนนี้ทุกคนถูกกดดันให้คิดแบบระยะสั้นที่เป็นผลมาจากการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) รวมไปถึงเรื่องสงครามการค้า ที่ส่งผลกระทบหนักกับเศรษฐกิจภายใน จึงทำให้ รีแอคชันแรกที่ทุกคนคิดคือทิ้งเรื่องระยะยาวไปก่อน เน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เรียบร้อย แต่ลืมและทิ้งระยะยาว” และหากเน้นแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในส่วนที่กำลังเผชิญอยู่อย่างเดียวแต่ละทิ้งการการปัญหาในระยะสั้นและยาว  ดร.อาร์ม กล่าวว่า “เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้วมองย้อนกลับมาจะทำให้รู้สึกว่าไทยไม่มีบุญใหม่ เพราะมัวแต่สนใจเรื่องเฉพาะหน้า หรืออาจเรียกว่ากินบุญเก่าจึงควรต้องทำควบคู่กันไป” 


สำหรับในช่วงท้ายของเวทีเสวนา วิทยากรทั้ง 2 ได้ให้คำแนะนำกับคนทำธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ว่าในโลกยุคปัจจุบันที่กำลังเผชิญภัยคุกคามทั้ง 3 นี้ สิ่งที่ดีที่สุด คือ “การปรับตัว”


ควรเรียนรู้สิ่งใหม่และการไม่หยุดที่จะเรียนรู้ เพราะถ้าเราหยุดคนอื่นก็ยังเรียนรู้ต่อ ด้านธุรกิจก็เช่นกันหากเราไม่ปรับตัวแต่คนอื่นก็ปรับตัวอยู่ตลอด สุดท้ายก็จะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน


                           - รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช กล่าว-


ขณะที่ทางฝั่ง ดร.อาร์ม แนะนำว่า “คนรุ่นใหม่ควรมีทักษะแบบบูรณาการเพราะไม่ใช่ว่าต่างเรื่องจะไม่เกี่ยวกัน แต่มันกลับสัมพันธ์กันทั้งหมด” นอกจากนี้ ดร.อาร์ม เปรียบเทียบให้เห็นว่าเมื่อเรื่องของ “ความเร็ว” เป็นอิทธิพลที่เข้ามาในปัจจุบัน ไทยจะขึ้นรถขบวนใหม่ที่เต็มไปด้วยความเร็วนั้นได้ทันหรือไม่ ก่อนที่เซสชันการเสวนานี้จะสรุปหัวข้อได้ว่าเมื่อโลกเปลี่ยนไปแล้วคนได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง เพราะไม่ต้องเป็นองค์กรขนาดใหญ่แต่คุณก็เปลี่ยนแปลงได้ด้วยการเริ่มต้นที่ตัวเอ

ที่มาข้อมูล : GCNT Expo 2025

ที่มารูปภาพ : TNN World