พันธมิตรยุโรปยืนยัน ต้องมียูเครนในโต๊ะเจรจาสันติภาพ

คำประกาศนี้มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาจะพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียที่รัฐอลาสกา เพื่อพยายามยุติสงครามอีกครั้ง

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน แสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่าประเทศของเขาอาจไม่ถูกเชิญเข้าร่วมโต๊ะเจรจา พร้อมเตือนว่าข้อตกลงใด ๆ ที่ไม่มียูเครนเป็นผู้ร่วมตัดสินใจ ถือเป็น “การตัดสินใจที่ไร้ความหมาย”

ทำเนียบขาวระบุเมื่อค่ำวันที่ 9 สิงหาคมว่า ทรัมป์เปิดกว้างที่จะจัดการพบปะแบบสามฝ่าย ระหว่างเขา ปูติน และเซเลนสกี แต่ในตอนนี้ยังคงเป็นการพบกันระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียเท่านั้น ตามที่รัสเซียร้องขอ

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยบอกผู้สื่อข่าวว่าเขาอาจเริ่มจากการพบปูตินเพียงสองฝ่ายก่อน และยังเคยเสนอแนวคิด “แลกเปลี่ยนดินแดน” ระหว่างรัสเซียกับยูเครน เพื่อบรรลุข้อตกลง ซึ่งทำให้เซเลนสกีตอบโต้ทันทีว่า
“เราจะไม่ให้รางวัลรัสเซียสำหรับสิ่งที่พวกเขาก่อขึ้น” พร้อมย้ำว่าการตกลงใด ๆ โดยไม่มียูเครน เท่ากับเป็นการตัดสินใจที่ต่อต้านสันติภาพ

รายงานของ CBS อ้างว่า ทำเนียบขาวกำลังพยายามโน้มน้าวพันธมิตรยุโรปให้ยอมรับข้อตกลงที่รวมถึงการยกทั้งภูมิภาคดอนบาสให้รัสเซีย และคงการยึดครองคาบสมุทรไครเมียไว้เช่นเดิม

ผู้นำยุโรประบุในถ้อยแถลงว่า “พรมแดนระหว่างประเทศต้องไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยกำลัง” และยูเครนต้องมีสิทธิเลือกอนาคตของตนเอง พร้อมยืนยันว่าจะสนับสนุนยูเครนต่อไปทั้งในด้านการทูต การทหาร และการเงิน

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ยังโพสต์บน X แสดงความกังวลว่าการเจรจาที่มีเพียงรัสเซียและสหรัฐฯ อาจกันยุโรปออกจากวงตัดสินใจ พร้อมย้ำว่า “ยุโรปจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ เนื่องจากความมั่นคงของยุโรปเองก็อยู่ในความเสี่ยง”

ในสายโทรศัพท์เมื่อวันเสาร์ เซเลนสกีได้บอกมาครงว่า สิ่งสำคัญคือต้องป้องกันไม่ให้รัสเซีย “หลอกลวง” ฝ่ายใดได้อีก พร้อมย้ำว่าจำเป็นต้องมี “การยุติสงครามอย่างแท้จริง” และวางรากฐานความมั่นคงที่เชื่อถือได้

ด้านอันดรีย์ เยอร์มัค หัวหน้าสำนักงานของเซเลนสกี กล่าวหลังพบกับรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ ในสหราชอาณาจักรว่า “สันติภาพที่ยั่งยืนเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อยูเครนอยู่บนโต๊ะเจรจา” พร้อมเตือนว่า “การหยุดยิงไม่ใช่พรมแดน”

การประชุมสุดยอดที่อลาสกา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนของรัสเซียก่อนขายให้สหรัฐฯ ในปี 1867 จะเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย นับตั้งแต่ไบเดนพบปูตินที่เจนีวาในปี 2021

จนถึงตอนนี้ รัสเซียยังคงยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันออกของยูเครน ขณะที่การรุกกลับของยูเครนก็ยังไม่สามารถผลักดันกองกำลังรัสเซียให้ออกไปได้