รัสเซียถล่มกรุงเคียฟครั้งใหญ่ เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย

ขณะเดียวกัน ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า รัสเซียยังคงสนใจในการเจรจาสันติภาพ แต่เน้นย้ำว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ซึ่งเป็นคำที่รัสเซียใช้เรียกสงครามในยูเครน “จะยังคงดำเนินต่อไป”

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ได้ประณามการโจมตีครั้งนี้ว่าเป็น “การสังหารประชาชนอย่างโหดเหี้ยมและจงใจ” ผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์ม X

เซเลนสกีระบุในโพสต์ก่อนหน้านี้ว่า “ขีปนาวุธและโดรนโจมตีของรัสเซียในวันนี้ เป็นคำตอบที่ชัดเจนต่อทุกคนในโลก ที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเจรจาทางการทูตอย่างแท้จริงตลอดหลายสัปดาห์และหลายเดือนที่ผ่านมา” 

ทางการยูเครนระบุว่า มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายร้อยคนถูกส่งไปยังจุดเกิดเหตุในหลายพื้นที่ รวมถึงอาคารที่ใช้โดยเจ้าหน้าที่ของอียูประจำยูเครนด้วย

หน่วยงานของอียู ซึ่งมีฐานอยู่ในกรุงเคียฟมาตั้งแต่ปี 2536 มีหน้าที่ “ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ” ระหว่างยูเครนกับสหภาพยุโรป รวมถึงภารกิจอื่น ๆ ด้วย

ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์นี้ โดยกล่าวว่าเป็น “เครื่องเตือนใจที่โหดร้ายอีกครั้งถึงสิ่งที่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง”

เธอกล่าวว่า “เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่ารัสเซียจะไม่หยุดยั้งในการก่อการร้ายต่อยูเครน ฆ่าประชาชนอย่างไม่เลือกหน้า ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก รวมถึงยังกล้าโจมตีเป้าหมายสหภาพยุโรปด้วยซ้ำ” 

ฟอน แดร์ ไลเอิน ระบุเพิ่มเติมในโพสต์บน X ว่าเธอได้พูดคุยกับทั้งประธานาธิบดีเซเลนสกี และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ภายหลังเหตุโจมตี พร้อมกล่าวว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน “ต้องมานั่งเจรจาบนโต๊ะเจรจา”

คายา คัลลาส หัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป ระบุว่า สหภาพยุโรปจะเรียกตัวเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงบรัสเซลส์เข้าพบ เพื่อตอบโต้การโจมตีครั้งนี้ เช่นเดียวกับ อังกฤษ ก็เรียกตัวเอกอัครราชทูตรัสเซียเข้าพบ โดยเดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ โพสต์ข้อความผ่านโซเชียล มีเดีย ระบุว่า ต้องหยุดการเข่นฆ่าและทำลายล้าง