พลเมืองโลก คืออะไร ในยุคแห่งความผันผวน แต่อาจไม่ใช่ความฝันของทุกคน

พลเมืองโลก คืออะไร ในยุคแห่งความผันผวน แต่อาจไม่ใช่ความฝันของทุกคน

เนื่องในโอกาส TNN ช่อง 16 ก้าวเข้าสู่ปีที่ 18 TNN World ร่วมจัดเวทีเสวนาภายใต้ชื่อ “Global Citizen in an Unstabilized World” พร้อมถกวิธีรับมืออย่างไรในฐานะ “พลเมืองโลก” เมื่อโลกต้องเผชิญกับวิกฤตมากมาย ตั้งแต่ความขัดแย้งทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำ เทคโนโลยีที่ไร้ขอบเขต ไปจนถึงภัยไซเบอร์ และข่าวสารที่บิดเบือน นำทัพโดย 3 วิทยากรระดับประเทศ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล, คุณณัฐพงศ์ นำศิริกุล และ คุณสันติ ศิริธีราเจษฏ์ ที่มาร่วมพูดคุยเพื่อขับเคลื่อนแนวคิดการเป็น “พลเมืองโลก” ให้ไม่ใช่เป็นแค่คำพูดสวยหรู แต่เป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงโลกได้จริง 


พลเมืองโลก (Global Citizen) คืออะไร ?


วงเสวนาร่วมหาคำตอบถึงนิยามของคำว่า Global citizen หรือ พลเมืองโลก คนไม่น้อยมีความเข้าใจว่าการเป็นพลเมืองโลกหมายถึงการที่สามารถพูดหรือสื่อสารภาษาต่างประเทศได้หลายภาษา หรือ การเดินทางข้ามไปประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่เมื่อโลกในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความท้าทายและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายก็นำมาสู่คำถามว่าจนถึงตอนนี้เรายังสามารถเรียกว่าเราคือพลเมืองโลกได้อยู่หรือไม่ ?


หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล นักวิเคราะห์ข่าวชื่อดัง มีมุมมองกับประเด็นนี้ว่าการทำความเข้าใจความหมายของพลเมืองโลกมี 2 มิติ โดยในมิติแรกคือการสร้างโอกาสให้กับตนเองให้เราสามารถก้าวไปสู่ระดับนานาชาติได้ในเชิงปฏิบัติด้วยการไม่ปิดกั้นและเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับตนเอง ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม เพื่อให้วันหนึ่งสามารถผลักดันตนเองให้เป็นผู้ที่สามารถทำงานที่ใดก็ได้บนโลกนี้และนั่นก็ถือเป็นการก้าวเข้าสู่คำว่าพลเมืองโลกแล้ว ซึ่ง หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ มองว่านี่คือวิธีการเติบโตทางหน้าที่การงานที่น่าสนใจและสามารถสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้เข้าถึงคำว่า “ไม่ธรรมดา” ได้


แต่ในอีกมิติหนึ่งหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ก็ยอมรับว่าคำว่า “พลเมืองโลก” ในมุมมองของเขาเริ่มเปลี่ยนไปในระยะหลัง เพราะการเป็นพลเมืองโลกมักมีเรื่องของ “ค่านิยม” เข้ามาเกี่ยวข้องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินทองหรือการประกอบอาชีพแต่มีความเป็นสากลมากขึ้น อาทิ การศึกษาของเด็กรุ่นใหม่ พวกเขาถูกสอนให้ใส่ใจต่อสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น และหลักสูตรการเรียนการสอนในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกมีความคล้ายคลึงกันมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการเรียนที่เป็นวิชาการ แต่เด็กที่จบมาในยุคเจน Z หรือ Alpha จะใส่ใจในสิ่งที่คนยุคเก่าไม่สนใจเช่น การสนใจเรื่องภาวะโลกร้อน หรือ สิ่งแวดล้อม อย่างการที่สิ่งมีชีวิตกินหลอดพลาสติกซึ่งเป็นผลมาจากการทิ้งขยะลงทะเลของมนุษย์ ซึ่งหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ ยอมรับว่าแต่ก่อนเขาเคยล้อเลียนประเด็นเหล่านี้ แต่ในตอนนี้ เขาเปลี่ยนความคิดและเข้าใจว่านี่คือค่านิยมที่สะท้อนความดีที่แท้จริงและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่าที่น่าสนใจ โดยที่เด็กๆ เจนเนอเรชันยุคปัจจุบันก็มักจะอยากทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาเหล่านี้และทำให้โลกของพวกเขาน่าอยู่มากขึ้น ซึ่งนี่คือค่านิยมแห่งยุคที่จะเชื่อมโยงแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน 


หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ ยังได้พูดถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กรณีที่ตัดความช่วยเหลือในโครงการ USAID ที่มอบเงินดูแลด้านสาธารณะสุขให้กับต่างประเทศ ซึ่งหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์มองว่าบางครั้งการกระทำเช่นนี้ดู “ขวางโลก” และนี่ไม่ใช่ความดีที่แท้จริงและเพราะการขวางโลกที่มากจนเกินไปนี้เอง ในบางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาในที่สุด 

สรุปข่าว

TNN ช่อง 16 ฉลองก้าวสู่ปีที่ 18 จัดเวทีเสวนา “Global Citizen in an Unstabilized World” ชวนคิดรับมือวิกฤตโลกทั้งการเมือง ความเหลื่อมล้ำ เทคโนโลยี และข่าวสารบิดเบือน นำโดย 3 วิทยากรชื่อดัง หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล, ณัฐพงศ์ นำศิริกุล และสันติ ศิริธีราเจษฏ์ ผลักดันแนวคิด “พลเมืองโลก” สู่พลังเปลี่ยนโลกจริง

เนื่องในโอกาส TNN ช่อง 16 ก้าวเข้าสู่ปีที่ 18 TNN World ร่วมจัดเวทีเสวนาภายใต้ชื่อ “Global Citizen in an Unstabilized World” พร้อมถกวิธีรับมืออย่างไรในฐานะ “พลเมืองโลก” เมื่อโลกต้องเผชิญกับวิกฤตมากมาย ตั้งแต่ความขัดแย้งทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำ เทคโนโลยีที่ไร้ขอบเขต ไปจนถึงภัยไซเบอร์ และข่าวสารที่บิดเบือน นำทัพโดย 3 วิทยากรระดับประเทศ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล, คุณณัฐพงศ์ นำศิริกุล และ คุณสันติ ศิริธีราเจษฏ์ ที่มาร่วมพูดคุยเพื่อขับเคลื่อนแนวคิดการเป็น “พลเมืองโลก” ให้ไม่ใช่เป็นแค่คำพูดสวยหรู แต่เป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงโลกได้จริง 


พลเมืองโลก (Global Citizen) คืออะไร ?


วงเสวนาร่วมหาคำตอบถึงนิยามของคำว่า Global citizen หรือ พลเมืองโลก คนไม่น้อยมีความเข้าใจว่าการเป็นพลเมืองโลกหมายถึงการที่สามารถพูดหรือสื่อสารภาษาต่างประเทศได้หลายภาษา หรือ การเดินทางข้ามไปประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่เมื่อโลกในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความท้าทายและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายก็นำมาสู่คำถามว่าจนถึงตอนนี้เรายังสามารถเรียกว่าเราคือพลเมืองโลกได้อยู่หรือไม่ ?


หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล นักวิเคราะห์ข่าวชื่อดัง มีมุมมองกับประเด็นนี้ว่าการทำความเข้าใจความหมายของพลเมืองโลกมี 2 มิติ โดยในมิติแรกคือการสร้างโอกาสให้กับตนเองให้เราสามารถก้าวไปสู่ระดับนานาชาติได้ในเชิงปฏิบัติด้วยการไม่ปิดกั้นและเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับตนเอง ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม เพื่อให้วันหนึ่งสามารถผลักดันตนเองให้เป็นผู้ที่สามารถทำงานที่ใดก็ได้บนโลกนี้และนั่นก็ถือเป็นการก้าวเข้าสู่คำว่าพลเมืองโลกแล้ว ซึ่ง หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ มองว่านี่คือวิธีการเติบโตทางหน้าที่การงานที่น่าสนใจและสามารถสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้เข้าถึงคำว่า “ไม่ธรรมดา” ได้


แต่ในอีกมิติหนึ่งหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ก็ยอมรับว่าคำว่า “พลเมืองโลก” ในมุมมองของเขาเริ่มเปลี่ยนไปในระยะหลัง เพราะการเป็นพลเมืองโลกมักมีเรื่องของ “ค่านิยม” เข้ามาเกี่ยวข้องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินทองหรือการประกอบอาชีพแต่มีความเป็นสากลมากขึ้น อาทิ การศึกษาของเด็กรุ่นใหม่ พวกเขาถูกสอนให้ใส่ใจต่อสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น และหลักสูตรการเรียนการสอนในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกมีความคล้ายคลึงกันมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการเรียนที่เป็นวิชาการ แต่เด็กที่จบมาในยุคเจน Z หรือ Alpha จะใส่ใจในสิ่งที่คนยุคเก่าไม่สนใจเช่น การสนใจเรื่องภาวะโลกร้อน หรือ สิ่งแวดล้อม อย่างการที่สิ่งมีชีวิตกินหลอดพลาสติกซึ่งเป็นผลมาจากการทิ้งขยะลงทะเลของมนุษย์ ซึ่งหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ ยอมรับว่าแต่ก่อนเขาเคยล้อเลียนประเด็นเหล่านี้ แต่ในตอนนี้ เขาเปลี่ยนความคิดและเข้าใจว่านี่คือค่านิยมที่สะท้อนความดีที่แท้จริงและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่าที่น่าสนใจ โดยที่เด็กๆ เจนเนอเรชันยุคปัจจุบันก็มักจะอยากทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาเหล่านี้และทำให้โลกของพวกเขาน่าอยู่มากขึ้น ซึ่งนี่คือค่านิยมแห่งยุคที่จะเชื่อมโยงแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน 


หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ ยังได้พูดถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กรณีที่ตัดความช่วยเหลือในโครงการ USAID ที่มอบเงินดูแลด้านสาธารณะสุขให้กับต่างประเทศ ซึ่งหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์มองว่าบางครั้งการกระทำเช่นนี้ดู “ขวางโลก” และนี่ไม่ใช่ความดีที่แท้จริงและเพราะการขวางโลกที่มากจนเกินไปนี้เอง ในบางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาในที่สุด 

"จีน" กับความเป็นพลเมืองโลก ?

 

ขณะเดียวกัน ในประเทศฝั่งตะวันออกอย่าง “จีน” กลับมีคำนิยามของการเป็นพลเมืองโลกต่างออกไป คุณณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN และผู้ที่คุ้นเคยกับประเทศจีน นำเสนอมุมมองนี้ว่า จีนไม่ได้ตีความหมายของพลเมืองโลกในปัจจุบัน เพราะจีนให้ความสำคัญกับความเป็น “ชาตินิยม” มากกว่าค่านิยม นั่นหมายถึงจีนมองว่าในประเทศต้องดีก่อน และสิ่งที่ทำให้จีนเจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันก็คือความเป็นชาตินิยม แต่ไม่ได้นิยมการเป็นพลเมืองโลก เพราะจีนมองว่าหากประชาชนยิ่งหันมาสนใจเรื่องการเป็นพลเมืองโลกมากขึ้นเท่าไหร่ จะทำให้ความภาคภูมิใจในชาติของตนยิ่งลดลงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่ในขณะเดียวกัน คุณณัฐพงศ์ ชี้ให้เห็นว่าความเป็นพลเมืองโลก ก็เป็นสิ่งที่มักจะกระจุกตัว หรือรับรู้กันอยู่ในหมู่คนเพียงชนชั้นเดียวของสังคม ซึ่งก็คือกลุ่มชนชั้นสูง หรือ Elite ที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะเข้าถึงการศึกษา เพราะเลี่ยงไม่ได้ที่คุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่จะเป็นพลเมืองโลกจะต้องเป็นคนที่พูดได้หลายภาษา อาจจะ 2-3 ภาษาขึ้นไป และเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์กลุ่มคนที่มีความสามารถนี้ยังคงมีน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร


นอกจากเรื่องภาษาอีกหนึ่งปัจจัยคือ “ศาสนา” ความเป็นพลเมืองโลกต้องยอมรับการมีอยู่ของศาสนาต่าง ๆ ด้วย แต่ในบางครั้งแม้แต่ศาสนาที่ตัวเองนับถือ หลายคนยังไม่รู้จักดีพอจึงอาจเป็นความท้าทายเมื่อต้องเปิดรับและทำความเข้าใจอย่างแท้จริงกับเพื่อนต่างศาสนาบนโลกนี้ ดังนั้นการรู้จักตนเองก่อนจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ


ทั้งนี้ ในปัจจุบัน จีนก็กำลังพยายามนำเสนอความเป็นชาตินิยมของตนทั้งเรื่อง ขงจื๊อ หรืออะไรก็ตามที่เป็นรากเหง้าของจีนแท้ๆ คุณณัฐพงศ์จึงมองว่านี่คือสิ่งที่ทำให้จีนยังไปไม่ถึงความเป็นพลเมืองโลกในตอนนี้ 

แล้วจีนในปัจจุบันที่กำลังแผ่ขยายความเป็นพหุภาคี ความเป็นแกนนำ จีนจำเป็นต้องรวบรวมความเป็นพลเมืองโลกหรือไม่ ? หรืออะไรที่จะทำให้จีนส่งออกแนวคิดเหล่านี้ไปสู่พลเมืองโลก


คุณณัฐพงศ์มองว่าจีนกำลังทำให้ตนเองเป็น Hybrid ที่สามารถเติบโตไปพร้อมๆ กันได้ทั้งความเป็นชาตินิยมและการเป็นพลเมืองโลกด้วย ซึ่งในตอนนี้ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะหลายครั้งที่เกิดความพยายามนี้ก็มักทำให้กลุ่มที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่พอใจลุกขึ้นมาต่อต้าน 


นอกจากนี้ คุณณัฐพงศ์ยังได้กล่าวว่าเหตุใดจีนจึงไม่ยอมสหรัฐฯ ในยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวน นั้นเป็นเพราะสายป่านที่ทั้งสองประเทศมีเท่าๆ กันทั้งเรื่องเงินหรือด้านการทหาร  มีการยกตัวอย่างถึงประวัติศาสตร์ในยุคก่อนว่าญี่ปุ่นต้องยอมสหรัฐฯ เพราะสายป่านของทั้งสองประเทศไม่เท่ากัน แม้ญี่ปุ่นจะมีเงินแต่กำลังทหารกลับสู้ไม่ได้จึงต้องยอมแพ้ไป 


ในอีกแง่มุมหนึ่ง คุณณัฐพงศ์ กล่าวด้วยว่าหากย้อนไปฟังสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะทำให้ทราบว่าจีนยังคงผลักดันให้เกิด China Dream และไม่ละทิ้งความฝันนี้ ซึ่งในที่นี้มันคือความฝันของประธานาธิบดีสีที่ยังคงต้องการให้จีนเป็น “มหาอำนาจ” ของโลก 


อย่างไรก็ตาม การเป็นพลเมืองโลกที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นกลับไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่ “เด็ก” ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต เป็นอีกหนึ่งแรกขับเคลื่อนสำคัญของการเป็นพลเมืองโลก ในมุมคุณสันติ ศิริธีราเจษฏ์ ตัวแทนจาก UNICEF ผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านเด็กและเยาวชน กล่าวว่า การเป็นพลเมืองโลกกับสิทธิเด็กมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อสิทธิเด็กกำหนดว่าเด็กทุกคนต้องมีสิทธิที่จะมีชีวิตรอด มีสิทธิที่จะได้รับการพัฒนา มีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองจากภัยอันตราย รวมถึงสิทธิที่เด็กจะมีส่วนร่วมกับการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขา ซึ่งในส่วนนี้คุณสันติมองว่ามีความสำคัญมากที่สุดต่อการเป็นพลเมืองโลก เพราะหากเยาวชนต้องการเชื่อมต่อกับโยงประเทศต่าง ๆ พวกเขาควรเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย และอีกหนึ่งปัจจัยคือการเข้ามาของเทคโนโลยีที่คุณสันติมองว่ามันช่วยให้เด็ก ๆ เข้าถึงความเป็นพลเมืองโลกและเท่าทันมากขึ้นกว่าในอดีต


คุณสันติ กล่าวด้วยว่า เมื่อก่อนโลกของเราเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้โลกได้เปลี่ยนไปในหลาย ๆ รูปแบบ ซึ่งตัวแปรสำคัญ นอกจากสิ่งแวดล้อมคือ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ที่อาจทำให้ความเป็นพลเมืองโลก หรือ  Global Citizen ง่ายขึ้น เด็ก ๆ ในบางภูมิภาคของโลกที่เมื่อก่อนไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าใกล้ความเป็นพลเมืองโลก แต่เพราะตัวแปรเหล่านี้ที่เข้ามาอาจเป็นโอกาสให้พวกเขาเป็นพลเมืองโลกมากขึ้น

แล้ว “ประเทศไทย” กับความเป็นพลเมืองโลกจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ?


บนเวทีเสวนามองว่า ในตอนนี้ประเทศไทยยังไม่มีความเป็นพลเมืองโลกที่เต็มไปด้วยเส้นทางแห่งความสวยงาม แต่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความจริงที่หนักอึ้ง นั่นจึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง และคุณครู ที่ต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการช่วยให้เด็กๆ สามารถรับมือกับโลกเปลี่ยนแปลงและก้าวไปสู่ความฝันของการเป็นพลเมืองโลกในที่สุด 


พลเมืองโลก อาจไม่ใช่ความฝันของทุกคน ? 


ในทางกลับกัน บนเวทีเสวนาได้ให้ข้อคิดไว้ว่าความฝันของการเป็นพลเมืองโลกอาจเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ในยุคนี้ต้องการผลักดันให้เด็ก ๆ ก้าวไปให้ถึง แต่บางครั้งอาจต้องกลับมาคิดว่าแท้จริงความฝันนั้นเป็นของพ่อแม่ในยุคก่อนที่หวนหาความสวยหรูนั้นหรือเป็นความฝันของเด็ก ๆ ที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันแน่ เพราะมันอาจเป็นเพียงความฝันในอุดมคติแค่ใครบางคน “แต่ไม่ใช่กับทุกคน”


แต่หากมองอีกมุมหนึ่งการที่เรารู้จักตัวเองให้ดีพอก่อนจะฝันไปไกล เปิดใจให้กว้าง ศึกษาในทุก ๆ ศาสตร์ รวมถึงวัฒนธรรมก็อาจเป็นหนทางที่ทำให้เราเข้าถึงการเป็นพลเมืองโลกในเวลาใดเวลาหนึ่งที่เหมาะสมได้เช่นกัน

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN