
วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ให้สัมภาษณ์กับ India Today ระหว่างการเดินทางเยือนอินเดีย โดยระบุว่ารัสเซียจะ “ปลดปล่อยดอนบาสและโนโวรอสซียาไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ทั้งวิธีการทางทหารหรือวิธีอื่น” โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องใหญ่ที่สุดของเครมลิน คือให้ยูเครนยอมสละดินแดนในภูมิภาคดอนบาส ซึ่งรัสเซียได้ผนวกเข้าอย่างผิดกฎหมาย แต่ยังไม่สามารถยึดครองได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนคำว่า "โนโวรอสเซีย" หรือ "รัสเซียใหม่" เป็นคำทางประวัติศาสตร์ที่หมายถึงดินแดนทางตะวันตกในสมัยจักรวรรดิรัสเซีย ปูตินได้รื้อฟื้นคำนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และใช้ในการประกาศให้คาบสมุทรไครเมียของยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในปี 2014
ปูตินยังกล่าวถึงการประชุมในกรุงมอสโกเมื่อวันอังคารกับวิตคอฟฟ์และจาเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยบอกว่าการประชุมกินเวลานาน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต้อง “พิจารณาทีละประเด็นของข้อเสนอสันติภาพ”
ปูตินเสริมว่า รัสเซียไม่เห็นด้วยกับบางประเด็นในข้อเสนอของสหรัฐฯ แต่ก็ยอมรับว่าเป็น “ภารกิจที่ยาก” เขาย้ำข้อเรียกร้องของรัสเซียให้ยูเครนถอนกำลังออกจากดอนบาสและ “หลีกเลี่ยงการใช้กำลังทางทหาร”
ฝ่ายยูเครนยังคงปฏิเสธข้อเรียกร้องระดับสูงสุดของรัสเซีย ซึ่งถูกมองว่าเป็นประเด็นที่เครมลินไม่อาจประนีประนอมได้
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่าคณะผู้แทนสหรัฐฯ มี “การประชุมที่ดีมาก” กับปูติน และพวกเขาเชื่อว่าประธานาธิบดีรัสเซีย “ต้องการเห็นสงครามยุติลง” แม้การเจรจาจะไม่สามารถบรรลุความคืบหน้าครั้งสำคัญ
ทั้งสองฝ่ายยังคงสงวนท่าทีเกี่ยวกับความคืบหน้าใด ๆ ที่ได้จากการเจรจาครั้งนี้ แม้ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยและที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของปูตินกล่าวว่า พวกเขาได้หารือเรื่องดินแดนในการประชุม “ซึ่งเป็นประเด็นที่หากไม่มีการหารือกัน ก็ไม่อาจเห็นหนทางแก้ปัญหาวิกฤตนี้ได้”
อูชาคอฟ กล่าวอีกว่า มีบางประเด็นในข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ “ดูเหมือนจะยอมรับได้มากน้อยต่างกัน” ในขณะที่บางประเด็น “ไม่เหมาะสมสำหรับเรา”
สรุปข่าว
วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ให้สัมภาษณ์กับ India Today ระหว่างการเดินทางเยือนอินเดีย โดยระบุว่ารัสเซียจะ “ปลดปล่อยดอนบาสและโนโวรอสซียาไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ทั้งวิธีการทางทหารหรือวิธีอื่น” โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องใหญ่ที่สุดของเครมลิน คือให้ยูเครนยอมสละดินแดนในภูมิภาคดอนบาส ซึ่งรัสเซียได้ผนวกเข้าอย่างผิดกฎหมาย แต่ยังไม่สามารถยึดครองได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนคำว่า "โนโวรอสเซีย" หรือ "รัสเซียใหม่" เป็นคำทางประวัติศาสตร์ที่หมายถึงดินแดนทางตะวันตกในสมัยจักรวรรดิรัสเซีย ปูตินได้รื้อฟื้นคำนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และใช้ในการประกาศให้คาบสมุทรไครเมียของยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในปี 2014
ปูตินยังกล่าวถึงการประชุมในกรุงมอสโกเมื่อวันอังคารกับวิตคอฟฟ์และจาเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยบอกว่าการประชุมกินเวลานาน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต้อง “พิจารณาทีละประเด็นของข้อเสนอสันติภาพ”
ปูตินเสริมว่า รัสเซียไม่เห็นด้วยกับบางประเด็นในข้อเสนอของสหรัฐฯ แต่ก็ยอมรับว่าเป็น “ภารกิจที่ยาก” เขาย้ำข้อเรียกร้องของรัสเซียให้ยูเครนถอนกำลังออกจากดอนบาสและ “หลีกเลี่ยงการใช้กำลังทางทหาร”
ฝ่ายยูเครนยังคงปฏิเสธข้อเรียกร้องระดับสูงสุดของรัสเซีย ซึ่งถูกมองว่าเป็นประเด็นที่เครมลินไม่อาจประนีประนอมได้
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่าคณะผู้แทนสหรัฐฯ มี “การประชุมที่ดีมาก” กับปูติน และพวกเขาเชื่อว่าประธานาธิบดีรัสเซีย “ต้องการเห็นสงครามยุติลง” แม้การเจรจาจะไม่สามารถบรรลุความคืบหน้าครั้งสำคัญ
ทั้งสองฝ่ายยังคงสงวนท่าทีเกี่ยวกับความคืบหน้าใด ๆ ที่ได้จากการเจรจาครั้งนี้ แม้ยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยและที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของปูตินกล่าวว่า พวกเขาได้หารือเรื่องดินแดนในการประชุม “ซึ่งเป็นประเด็นที่หากไม่มีการหารือกัน ก็ไม่อาจเห็นหนทางแก้ปัญหาวิกฤตนี้ได้”
อูชาคอฟ กล่าวอีกว่า มีบางประเด็นในข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ “ดูเหมือนจะยอมรับได้มากน้อยต่างกัน” ในขณะที่บางประเด็น “ไม่เหมาะสมสำหรับเรา”
ส่วนเจ้าหน้าที่ยูเครน รูสเตม อูเมรอฟ หัวหน้าคณะผู้แทนของประเทศ และอันดรี ฮนาตอฟ เสนาธิการกองทัพบกของยูเครน กำลังเดินทางไปไมอามีเมื่อวานนี้ เพื่อการเจรจาสันติภาพกับทีมสหรัฐฯ
การเจรจารอบล่าสุดนี้เกิดขึ้นสี่วัน หลังจากการประชุมระดับสูงครั้งก่อนระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และยูเครน ซึ่งมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าเป็น “การประชุมที่มีประสิทธิผลและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งมีความคืบหน้าเพิ่มเติมเกิดขึ้น”
- ปูตินย้ำรัสเซีย "ไม่ต้องการ" ทำสงครามกับมหาอำนาจยุโรป แต่หากยุโรปต้องการรัสเซียก็พร้อมสู้
- ปูตินหารือกับทูตพิเศษสหรัฐฯ เรื่องยุติสงครามในยูเครน
- "รัสเซีย" กล่าวอ้างว่าสามารถยึดเมืองโปครอฟสห์ และโวฟชานสก์ ทางตะวันออกของยูเครนได้
- เซเลนสกีเดินสายพบผู้นำยุโรปดันแผนสันติภาพ ระบุประเด็น "เขตแดน" ตัดสินใจยากที่สุด
- รัสเซียแบน Human Right Watch ขึ้นบัญชีเป็น "องค์กรไม่พึงประสงค์" ในรัสเซีย
