
สรุปข่าว
บุรุษผู้ไม่ได้ก่อเกิดดนตรีเร้กเก้ แต่เป็นผู้ที่ทำให้เร้กเก้โด่งดังไปทั้งโลก...ในฐานะดนตรีที่แสดงออกเพื่อสันติ บ๊อบ มาร์เลย์ ขบถผู้เสรี ราชาดนตรีผู้จากไปในเวลาอันรวดเร็ว แต่ตลอด 36 ปีของเขา คือโมงยามแห่งความอัศจรรย์แห่งบรรทัดห้าเส้น ตัวโน้ต และจังหวะอันมีลักษณะเฉพาะที่กรุ่นกลิ่นกัญชาตามความเชื่อแห่งลัทธิรัสตาฟารี
11 พ.ค. ค.ศ. 1981 อาณาจักรแห่งเสียงเพลงร่ำไห้ เมื่อความตายได้มาเยือนราชาเร้กเก้ ด้วยวัยเพียง 36 ปี...น้อยและสั้นเหลือเกิน
บ๊อบ มาร์เลย์ หรือ โรเบิร์ต เนสต้า มาร์เลย์ เจ้าของฉายาทางดนตรี Tuff Gong เกิดเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 เขาผู้หายใจเข้าเป็นดนตรี หายใจออกเป็นฟุตบอล และหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณขบถของตนเอง ด้วยสองสิ่งนี้ตลอดอายุขัยของเขา ชายผู้ปฏิเสธทางรอดชีวิต และเลือกเดินเข้าหามรณะเพียงเพื่อต้องการใช้ทุกนาทีชีวิตไปบนเวทีและเสียงเพลง
เขาเป็นเป็นลูกครึ่งระหว่างบิดานายทหารสังกัดราชนาวีอังกฤษ ร.อ.นอร์วัล มาร์เลย์ และซีเดลล่า มารดาผิวสีชาวจาไมก้า ผู้มิใช่ชนชั้นสูง ทำให้เกิดความต่างสถานะของคู่สามีภรรยา หนำซ้ำบิดาของเขาถูกขับออกจากกองมรดกเนื่องจากสะใภ้ผิวสีไม่เป็นที่ต้อนรับของครอบครัว กระทั่งบ๊อบเกิดมา พ่อก็ทิ้งครอบครัวไป ความเศร้าระคนว้าเหว่จากการถูกทิ้ง ซ่านซึมเข้าไปในจิตใจอันเปราะบางของเขา และมันถูกใช้เป็น "วัตถุดิบทางดนตรี" และกลายเป็นบทเพลงระดับโลกเวลาต่อมา
หลังพ่อจากไป แม่ของเขาทำงานหนักเพื่อให้เขาได้เรียน แต่บ๊อบในวัยรุ่น ทนเห็นแม่ลำบากไม่ไหว เขาฟอร์มวงดนตรีขึ้นมาชื่อว่า The Wailing Wailer หาเลี้ยงตัวเองและแม่ด้วยเสียงดนตรี แม้อัลบั้มแรกจะไม่ประสบความสำเร็จนัก แต่อัลบั้มถัดๆ มาส่งให้เขามีชื่อเสียง
เขาและเพื่อนในวงประกาศตนเข้าลัทธิ "รัสตาฟารี" (Rastafari) ลัทธินี้เปรียบดังศาสนาของคนผิวสี คนที่หลงใหลในลัทธินี้ถูกเรียกว่า Rastafarian เชื่อในปรัชญาความเชื่อที่มีอดีต เกี่ยวกับจักรพรรดิ์ไฮลี เซลาซซี (Haile Selassie) แห่งเอธิโอเปีย เป็นองค์ศาสดา และเชื่อว่า อดีตจักรพรรดิ ไฮลี คือพระเจ้าที่จุติมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อมาปลดปล่อยคนแอฟริกันและคนดำให้พ้นจากความเป็นทาส และนำพวกเขาไปสู่ความยุติธรรมในสังคม Rastafarian ชอบใช้สีเขียว เหลือง แดง เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งกาย เนื่องจากเป็นสีของธงชาติประเทศเอธิโอเปียนั่นเอง นอกจากนี้ Rastafarian ยังเชื่อว่ากัญชาเป็นสมุนไพร และนิยมไว้ทรงผม Dreadlock เป็นที่เชื่อกันว่า ทรงนี้ได้รับอิทธิพลมาจากสิงโต มันคือศักดิ์และศรีของความเป็น Rasta
นับตั้งแต่ยุค '60 บ๊อบตะโกนบอกกล่าวทัศนคติของเขา การเรียกร้องเสรีภาพ เรียกร้องถึงจิตวิญญาณความเป็นธรรม และเป็นปากเป็นเสียงให้กับผู้ใช้แรงงานผิวสี หรือพลเมืองชั้นสอง ชั้นสาม ในสังคม โดยเนื้อเพลงส่วนใหญ่กล่าวถึงการแสวงหาเสรีภาพ สะท้อนมุมมองทางด้านการเมือง การแบ่งแยกสีผิวและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เขาป่าวร้องถึงชาวโลกด้วยกีต้าร์ ฮาโมนิก้า และเนื้อเพลงอันทรงพลังของเขา ผ่านแนวดนตรีเร้กเก้ อันมีเอกลักษณ์อยู่ที่จังหวะการเคาะแบบเฉพาะตัว
เมื่อจังหวะมันดี เนื้อหาดนตรีกระแทกใจ ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไม่ "ดัง"
จริงอยู่ที่บ๊อบมิได้เป็นต้นกำเนิดดนตรีเร้กเก้ แต่ก็เป็นสัจจะเช่นกันที่บ๊อบทำให้เร้กเก้ กระหึ่มไปทั้งโลก สมัญญา "ราชาเร้กเก้" ถูกเทิดทัดให้เขาอย่างไร้ข้อกังขา และไร้ใครกล้าโต้แย้ง
บ๊อบและเพลงของเขายิ่งโด่งดังขึ้นไปอีกเมื่อเทพกีต้าร์อย่าง อีริค แคลปตัน (Eric Clapton) นักกีตาร์ชื่อดังระดับโลกได้นำเพลง I Shot the Sheriff ของเขามาทำใหม่ในปี 1974
นอกจากดนตรีแล้ว สิ่งที่บ๊อบรักที่สุดในชีวิตคือฟุตบอล เขาเล่นฟุตบอลทุกครั้งที่ว่างเว้นจากภารกิจด้านดนตรี และช่วงต้นปี '70 เขาเล่นจนบาดเจ็บ และบ๊อบไม่ได้ใส่ใจแผลที่นิ้วเท้าขวาที่ได้แผลจากฟุตบอล ไม่ได้หาหมอรักษาจริงจัง และบาดเจ็บอีกครั้งในปี 1975 จนแพทย์ให้พักการใช้เท้า แต่เขาก็ไม่ได้ทำตามนั้น
บ๊อบแต่งงานกับริต้าในปี 1975 ประธานาธิบดีไมเคิล แมนเลย์ แห่งจาไมกา สนับสนุนให้เขาจัดคอนเสิร์ตฟรี 'สไมล์ จาเมกา' ฟรีคอนเสิร์ตที่มีวัตถุประสงค์ ผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองของสังคมจาเมกา ในวันที่ 5 ธันวาคม 1975 แต่ปรากฎว่าก่อนหน้า 2 วัน เขาและเพื่อนร่วมวงถูกลอบยิง เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เพื่อนร่วงวงคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส และนั่นเป็นที่มาของวลีแห่งโลกจากปากของบ๊อบ มาร์เลย์
"บรรดาผู้คนที่พยายามหาทางทำให้โลกนี้เลวร้ายลง ต่างไม่เคยคิดจะหยุดพัก แล้วตัวเขาเองจะมามัวหยุดพักได้อย่างไร"
เขายังคงเดินหน้าแสดงคอนเสิร์ตต่อไปทั้ง ๆ ที่ใช้ผ้าคล้องแขนกับคอเพราะบาดเจ็บ
1977 เขาบาดเจ็บรุนแรงระดับเล็บหลุดและแผลนั้นไม่สมานตัว แพทย์ได้ดึงเล็กของเขาออก และบ๊อบยังคงทัวร์คอนเสิร์ตต่อไป แต่เขาก็ได้ยอมรับกับผู้จัดการส่วนตัวว่านิ้วและแผลของเขา มีอาการผิดปกติมาสักพักใหญ่แล้ว ท้ายที่สุด แพทย์สงสัยว่าเขาเป็น "มะเร็งผิวหนัง" ที่นิ้วเท้าขวา แพทย์แนะนำให้เขาตัดนิ้ว ราชาเร้กเก้ปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่ต้องการให้มีอะไรเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวบนเวที
บ๊อบกลับมาแสดงคอนเสิร์ต One Love ที่จาไมก้าอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 1978 และได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการให้ประธานาธิบดี และผู้นำฝ่ายค้านขึ้นไปจับมือกันบนเวที และจับมือกัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาได้รับรางวัล The United Nations' Peace Medal ในเดือนมิถุนายน 1978 นั่นเอง
กันยายน 1980 บ๊อบล้มลงขณะที่กำลังวิ่งออกกำลังกายใน Central Park สวนสาธารณะกลางมหานครนิวยอร์ค ตรวจพบว่ามะเร็งลุกลามไปยังปอดและสมองการรักษาต้องโกน Dreadlock ทิ้ง แต่นั่นคือสัญลักษณ์ของ Rastafarian และความเป็นตัวเขา...เขาปฏิเสธ
บ๊อบในสังขารทรุดโทรมยังคงบินไปแสดงคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ Stanley Theatre นครพิตสเบิร์ก เมื่อวันที่ 23 กันยายน 1980
11 พฤษภาคม 1981 บ๊อบ มาร์เลย์ เดินทางจากไกลอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยวัยเพียง 36 ปี ท่ามกลางน้ำตาของคนรักเพลงทั้งโลก
Cr.ภาพ FB Bob Marley
ที่มาข้อมูล : -

TNNThailand