ผู้นำฝรั่งเศส เรียกร้องสหรัฐฯเลิกห้ามส่งออกวัคซีนโควิด-19

วันนี้( 9 พ.ค.64) ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป หรือ อียู ในโปรตุเกส เรียกร้องสหรัฐฯให้ยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีนต้านโควิด-19 และวัตถุดิบอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวัคซีน ประเทศร่ำรวยต้องเปิดกว้างในการช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตวัคซีน ซึ่งถ้อยแถลงของมาครงมีขึ้น ขณะที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกันระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ กรณีการหาแนวทางที่ดีที่สุดในการเพิ่มการผลิตวัคซีนทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันนี้ ทั่วโลกฉีดวัคซีนโควิดไปแล้วประมาณ 1,250 ล้านโดส 

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ไม่ถึง 1% ของประเทศยากจนที่สุด 29 ประเทศทั่วโลก ที่ได้ฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งตรงข้ามกับประเทศร่ำรวยที่ต่างก็เร่งเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนของตน โดยในสหราชอาณาจักร ประชาชน 67% ที่ได้รับวัคซีนโดสแรกแล้ว ขณะที่ในสหรัฐฯ ประชาชนรับวัคซีนโดสแรกแล้ว 56%

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป หรือ อียู ตกลงซื้อวัคซีนของบริษัท Pfizer/BioNTech จำนวน 900 ล้านโดส พร้อมกับขอใช้สิทธิ์ซื้อเพิ่มอีก 900 ล้านโดสด้วย

มาครงชี้ให้เห็นความจริงว่า จนถึงขณะนี้ 100% ของวัคซีนที่ผลิตในสหรัฐฯ เพื่อตลาดในสหรัฐฯทั้งหมด โดยสหรัฐฯซึ่งให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริจาควัคซีน 60 ล้านโดสของ AstraZeneca ที่สำรองไว้ ในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้ ประกาศควบคุมการส่งออกวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการผลิตวัคซีน

นอกจากนี้ มาครงยังชี้ว่า สหราชอาณาจักรคุมเข้มการส่งออกวัคซีนเช่นกัน นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ผู้นำสหราชอาณาจักร ปฏิเสธก่อนหน้านี้ว่ามีการห้ามดังกล่าว แต่มีข้อมูลที่เผยแพร่ต่อสาธารณะว่า ไม่มีวัคซีนส่งออกจากสหราชอาณาจักร