สรุปข่าว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พาราเมาต์ โกลบอล ยินยอมที่จะควบรวมกิจการเข้ากับ สกายแดนซ์ มีเดีย และถือเป็นการสิ้นสุดยุคของตระกูล เรดสโตน (Redstone) ที่ถือหุ้นใหญ่ใน พาราเมาต์ โกลบอล มานานกว่า 30 ปี ข้อตกลงดังกล่าว เดวิด เอลลิสัน (David Ellison) ผู้ก่อตั้ง สกายแดนซ์ มีเดีย และพันธมิตร จะใช้เงินลงทุนกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในครึ่งปีแรก ของปีหน้า (2568) จากนั้น เอลลิสัน จะเข้าถือหุ้นคิดเป็นร้อยละ 70 และจะดำรงตำแหน่ง เป็นประธานบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยมี เจฟฟ์ เชลล์ (Jeff Shell) อดีตผู้บริหารของ เอ็นบีซี ยูนิเวอร์ซัล (NBCUniversal) เป็นประธานกรรมการบริษัท
ยังมีตัวเลขคาดการณ์อีกด้วยว่า การควบรวมครั้งนี้จะส่งผลให้บริษัทใหม่ หรือที่เรียกว่า นิว พาราเมาต์ มีมูลค่าบริษัทอยู่ ประมาณ 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้าน ชาริ เรดสโตน (Shari Redstone) ในฐานะตัวแทนของตระกูล เรดสโตน กล่าวในแถลงการณ์ ว่า อุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้มีความจำเป็นต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ เพื่ออนาคต และเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า เนื้อหายังคงมีความสำคัญ อย่างแท้จริง และจากการที่ เป็นพันธมิตรด้านการผลิตกับ สกายแดนซ์ มายาวนาน ยังเชื่อด้วยว่า สกายแดนซ์ ที่รู้จัก พาราเมาต์ เป็นอย่างดี จะนำพาบริษัทฯ ไปสู่การเติบโตต่อไปในอนาคต
ขณะที่ ผู้บริหารกลุ่มใหม่ วางแผนที่จะปรับปรุงและฟื้นฟูแบรนด์ พาราเมาต์ รวมถึง ซีบีเอส (CBS) ที่เป็นเครือข่ายโทรทัศน์ในกลุ่มบริษัทฯ เดียวกัน ให้เป็นพื้นที่ ที่มีเนื้อหาน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลจากแถลงการณ์ ระบุด้วยว่า นิว พาราเมาต์ (New Paramount) ซึ่งหมายถึงบริษัทฯ หลังจากควบรวมกิจการกันแล้ว จะเป็นจุดหมายปลายทางของแพลตฟอร์ม ที่ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเล่าเรื่องที่ทุ่มเทให้กับการนำเสนอเนื้อหาคุณภาพสูง
ส่วนแพลตฟอร์มชั้นนำของ พาราเมาต์ เช่น พาราเมาต์ พลัส (Paramount+) และ พลูโต ทีวี (Pluto TV) ก็จะได้รับการปรับปรุงและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน และด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะ รีโพซิชัน บริษัทฯ เพื่อปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร เสริมความมั่นคงและความเป็นอิสระให้แก่ ครีเอเตอร์ และลงทุนได้มากขึ้นในแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
การควบรวมกิจการครั้งนี้ ยังถือเป็นการผนึกกำลังกันของธุรกิจบันเทิงฮอลลีวูดรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ เข้าด้วยกัน โดย พาราเมาต์ เป็นสตูดิโอภาพยนตร์เก่าแก่ อายุมากกว่า 100 ปี (คือตั้งแต่ปี 1912) และอยู่เบื้องหลังผลงานภาพยนตร์คลาสสิก ที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น เดอะ กอดฟาเธอร์ (The Godfather), ไทเทนิค (Titanic), ไรเดอร์ส ออฟ เดอะ ลอสต์ อาร์ค (Raiders of the Lost Ark) และ ฟอเรสต์ กัมป์ (Forrest Gump) เป็นต้น
รวมถึงอยู่เบื้องหลัง ของหนังแฟรนไชส์ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สตาร์ เทร็ก (Star Trek) และ มิชชัน อิมพอสซิเบิล (Mission" Impossible)
พาราเมาต์ อยู่ภายใต้การครอบครองของตระกูล เรดสโตน มานานกว่า 30 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 1994 ที่ ซัมเนอร์ เรดสโตน (Sumner Redstone) ได้เข้าซื้อกิจการ และ กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในฮอลลีวูดมายาวนาน (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ขณะที่ สกายแดนซ์ ถือว่าเป็นน้องใหม่ในวงการบันเทิง ก่อตั้งขึ้นโดย เดวิด เอลลิสัน เมื่อปี 2010
เดวิด เอลลิสัน ปัจจุบัน อายุ 41 ปี และกำลังจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในฮอลลีวูดคนใหม่ เป็นลูกชายของ แลร์รี เอลลิสัน (Larry Ellison) ผู้ก่อตั้ง ออราเคิล (Oracle) บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ
ส่วน สกายแดนนซ์ เอง ก็ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุน ไพรเวท อิควิตี้ ชั้นนำของสหรัฐฯ รวมถึง เรดเบิร์ด แคปิตอล (RedBird Capital)ได้มีการผลิตและผลิตร่วม ภาพยนตร์และรายการทีวียอดนิยม หลายเรื่อง รวมถึง ท็อป กัน: มาเวอริค (Top Gun: Maverick) และซีรีส์ สตรีมมิง รีชเชอร์ (Reacher)
นอกจากธุรกิจภาพยนตร์ และโทรทัศน์ แล้ว ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังขยายกิจการเข้าสู่วงการแอนิเมชั่น กีฬา และเกม อีกด้วย
โดย สกายแดนซ์ แสดงความมุ่งมั่นมาตลอด ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสตูดิโอใหญ่แห่งใหม่ในวงการบันเทิง ด้วยการเน้นที่การผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ฟอร์มใหญ่ และพยายามเพิ่มขีดความสามารถของตน เพื่อแข่งขันกับสตูดิโอใหญ่ๆ ในฮอลลีวูด อย่าง วอเนอร์ บราเธอร์ส (Warner Bros.,) และ ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studios)
การเข้าซื้อกิจการ พาราเมาต์ จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในความพยายามที่จะยกระดับสถานะของตนในวงการบันเทิงระดับโลก
ในแวดวงสื่อ จึงคาดการณ์กันว่า เจ้าของใหม่ที่เข้ามาพร้อมกับเงินทุนเพิ่มเติมนั้น จะสามารถช่วยให้ พาราเมาต์ เริ่มต้นใหม่ได้ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับสื่ออื่น ๆ ในตลาดได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เนตฟลิก(Netflix), ดีสนีย์ (Disney), หรือ ไพร์ม วิดีโอ (Prime Video)
ขณะที่ มุมมองจากภาคธุรกิจบันเทิง ระบุว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ คาดว่าจะพลิกโฉมภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมบันเทิง เพราะจะเป็นการวางรากฐานสำหรับผลงานสร้างสรรค์ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในท่ามกลางการแข่งขันของตลาด
ทั้งยัง ตอกย้ำให้เห็นถึงการแข่งขันที่จะมีความรุนแรงมากขึ้น และอาจมีการควบรวมกิจการกันอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจสื่อและบันเทิง เช่นเดียวกับ พาราเมาต์ ซึ่งพยายามแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่อื่น ๆ
ที่มาข้อมูล : -