ไม่รอด ! โรงงานสู้ไม่ไหวจนต้องปิดตัว l การตลาดเงินล้าน

สรุปข่าว

ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า ครึ่งปีแรก 2567 ที่ผ่านมา มีโรงงานปิดตัวเป็นจำนวนสูง ถึง 667 แห่ง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 86.31 หรือปิดตัวเฉลี่ยประมาณ 111 แห่งต่อเดือน

หากพิจารณามูลค่าโรงงานต่อ 1 แห่งที่ปิดตัว จะพบว่ามีเงินทุนลดลงเหลือเฉลี่ยราว 27 ล้านบาทเศษ ต่อโรงงาน สะท้อนให้เห็นว่า โรงงานที่ปิดตัวส่วนใหญ่ เป็นโรงงานขนาดเล็ก หรืออยู่ในกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีอัตราการปิดตัว เร่งตัวเพิ่มขึ้น

หนึ่งในปัจจัยที่ถูกพูดถึง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อเอสเอ็มอีไทย ทำให้แข่งขันได้ยาก ก็คือ สินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาในตลาดอาเซียน และคาดว่าจะรุนแรงมากขึ้นอีก หลังจาก TEMU แอป อีคอมเมิร์ซรูปแบบใหม่จากจีน ที่เป็นการขายสินค้าตรงจากโรงงานสู่ผู้บริโภค กำลังขยายเข้ามารุกตลาดในไทย 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณ ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อยู่ระหว่างการเตรียมข้อเสนอเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม เช่น การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ (เมด อิน ไทยแลนด์) เพื่อช่วยจัดสรรเม็ดเงินลงระบบเป็นรายอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ คือ การสนับสนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้า และทรานสฟอร์ม หรือเปลี่ยนไปยังธุรกิจใหม่ การส่งเสริมเอสเอ็มอี ในการบริหารจัดการของเสียในภาคอุตสาหกรรม และการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรม 4.0 

ทั้งนี้ สินค้าจีนได้ขยายตลาดออกไปทั่วโลกต่อเนื่อง และเข้มข้นมากขึ้น จากการมาถึงของแพลตฟอร์ม อี คอมเมิร์ซ โดยเฉพาะ SHEIN และ TEMU ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว  สร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจในประเทศ ขณะที่ ภาครัฐของหลายประเทศ ออกมาตรการเพื่อปกป้องธุรกิจภายในประเทศของตนเอง

โดย เซาต์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ รายงานก่อนหน้านี้ ว่า SHEIN และ TEMU กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนในหลายประเทศ ท่ามกลางแรงกดดันด้านภาษีศุลกากรที่เพิ่มสูงขึ้น

ข่าวดังกล่าว รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม กรมสรรพากรของแอฟริกาใต้ เริ่มเรียกเก็บภาษีเสื้อผ้านำเข้า รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นร้อยละ 45 เพิ่มขึ้นจากเดิม เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากพัสดุที่มีมูลค่าต่ำ อยู่ที่ร้อยละ 20 ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะยับยั้ง แพลตฟอร์มชอปปิงจากจีน ไม่ให้ตัดราคาผู้ค้าปลีกในประเทศ และจากมาตรการดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคเริ่มลังเลใจในการสั่งซื้อสินค้าผ่านแอปชอปปิงของจีน 

ขณะที่ สหภาพยุโรป กำลังวางแผนจัดเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าราคาถูกที่ซื้อจากผู้ค้าปลีกออนไลน์ในจีน ทั้ง TEMU, SHEIN และ AliExpress ด้วย

ส่วนในสหรัฐอเมริกา รอยเตอร์ส รายงานข่าวว่า หน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ ประกาศ จะเข้มงวดกับนายหน้า (customs brokers) หลายราย ที่จัดการกับคำสั่งซื้อออนไลน์ราคาถูก มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากแพลตฟอร์ม SHEIN และ TEMU ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้เกิดขึ้น หลังจากมีคาดการณ์ว่า ภายในปีนี้ จะมีพัสดุมากกว่า 1,000 ล้านชิ้นนำเข้าในสหรัฐฯ มูลค่าเฉลี่ยต่อชิ้นอยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ และส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่ม ฟาสต์ แฟชัน ที่สั่งจากแพลตฟอร์ม อี คอมเมิร์ซจีน 

สำหรับประเทศในอาเซียน คุณ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า ตัวอย่างของประเทศที่ออกมาปกป้องธุรกิจในประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ที่รัฐบาลมีการแก้ไขกฎหมายหลายอย่าง เพื่อไม่ให้คู่แข่งหรือนักธุรกิจต่างชาติ เข้ามาทุ่มตลาด หรือเข้ามาค้าขายแข่งกับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กโดยทำให้คู่แข่งต่างชาติไม่สามารถขายสินค้าราคาถูกได้ หรือไม่สามารถขายสินค้าผ่านโซเชียล มีเดีย ได้ ขณะเดียวกัน การค้าขายทั้งหมด จะต้องถูกบันทึกไว้กับธนาคารกลาง

และยังมีรายงานข่าวเพิ่มเติมด้วยว่า รัฐบาลอินโดนีเซีย มีแผนที่จะใช้มาตรการทางภาษี กำหนดภาษีนำเข้าอัตรา 100-200% สำหรับสินค้าบางรายการ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งมาตรการดังกล่าว คาดว่าอาจกระทบต่อการนำเข้าสินค้า เช่น รองเท้า เสื้อผ้า สิ่งทอ เครื่องสำอาง และเซรามิก เป็นต้น 

นอกจากนี้ จะพาไปฟังอีกหนึ่งมุมมอง ของคุณ กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด บอกว่า การเข้ามาแข่งขันของสินค้าถูกจากจีน เอสเอ็มอี ได้รับผลกระทบแน่นอน ซึ่งรัฐบาลควรทำหน้าที่ในการดูแล อย่างไรก็ดี การจะออกมาตรการมาตอบโต้ เชื่อว่าจะสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น ผู้ประกอบการไทย ควรลุกขึ้นมาเสริมความแข็งแกร่งของตนเอง และขยันที่จะทำให้เป็นจุดดี หรือจุดแข็งของตัวเอง

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand