นักสิทธิมนุษยชนมีไวเพื่อ? เมื่อ สว.อังคณา ถูกโซเชียลถล่ม หลังปราม กัน จอมพลัง ปล่อยเสียงผีไล่กัมพูชา | TNN Story Teller

นักสิทธิมนุษยชนมีไวเพื่อ? เมื่อ สว.อังคณา ถูกโซเชียลถล่ม หลังปราม กัน จอมพลัง ปล่อยเสียงผีไล่กัมพูชา | TNN Story Teller

เกิดอะไรขึ้นกับ สว. อังคณา ? น่าสนใจว่า คนไทยเข้าใจเรื่อง สิทธิมนุษยชน มากน้อยแค่ไหน ในสังคมประชาธิปไตย คนเราเห็นต่างกันได้ ยึดหลังเสียงข้างมาก แต่ต้องรับฟังเสียงข้างน้อย แต่ดูเหมือนคนในโซเชียลไทย  ส่วนหนึ่งจะไม่ใช่แบบนั้น ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เริ่มลังเลว่า การปล่อยเสียงผี ขับไล่ชาวกัมพูชา เป็นวิธีที่ถูกใจ แต่ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่ เป็นยุทธวิธีทางจิตวิทยา หรือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ? โอ๋อยากลองชวนทุกคนมา ขบคิดจากเรื่องนี้ไปพร้อมๆกัน
—----------------------

กรณีข้อพิพาทชายแดน ไทย-กัมพูชา ที่ บ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง เมื่อชาวกัมพูชายังไม่ยอมย้ายออก ตามเส้นตาย  10 ต.ค. ทำให้คนไทยอยากหาวิธีในการช่วยรัฐจัดการ  หนึ่งในนั้นคือ กัน จอมพลัง อินฟลูฯ สายลุย ได้เข้าไปในพื้นที่เปราะบางเพื่อกระทำการปล่อย “เสียงผี ” เพื่อก่อกวนการพักอาศัย จนกลายเป็นประเด็นที่คนในสังคมไทย  เกิดความเห็นต่าง เป็น 2 ฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งมองว่า เป็น ยุทธวิธีทางจิตวิทยา หรือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ?

โดยหนึ่งในคนที่ออกมาแสดงความเห็นต่าง คือคุณ อังคณา นีละไพจิตร สว.และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก เธออุทิศตัวต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมาทั้งชีวิตหลังเจอบาดแผลใหญ่  เมื่อสามีของเธอถูกอุ้มหายตัวไปในปี 2547  จนเธอได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ 
ทั้ง รางวัลควังจูเพื่อสิทธิมนุษยชน  ในปี พ.ศ. 2549 รางวัลแมกไซไซ  ในปี พ.ศ. 2562  ดังนั้น หลักการ และ การออกมาแสดงความคิดเห็นของเธอในเรื่องนี้ “อาจไม่ถูกใจ แต่เชื่อได้ว่ามีหลักการ ที่ควรค่าแก่การรับฟัง”

คุณอังคณา ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า  
“ การกระทำดังกล่าว อาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการทรมานทางจิตวิทยา ตามอนุสัญญา CAT ที่ประเทศไทยเป็นภาคี และทุกอย่างถูกรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ  อาจไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์และจะทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลกได้ ”

ส่วนตัวโอ๋เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เจตนาดีกับประเทศไทย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า คุณอังคณา กำลังโดนโจมตี

ทั้งที่สิ่งที่เธอแสดงความเห็น อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง  กลับถูกล่าแม่มด และ ถูกพร้อมเรียกร้องให้ตรวจสอบจริยธรรม  
ลามไปถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับ  “ความเป็นคนไทย” ของเธอ 

น่าขบคิดนะว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่เราบอกว่า เราเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้ใครแสดงความเห็นอะไรที่ไม่ถูกใจ “ชาวโซเชียล” 
จะเจอดราม่า ล่าแม่มด ขุดอดีต ใช้คำพูดเหยียด เพราะมองเรื่องความสะใจ  มากกว่า เหตุและผล 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณอังคณา ทำให้อยากตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้ว
คนไทยมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน มากน้อยแค่ไหน?


สรุปข่าว

กรณีชายแดนไทย–กัมพูชา ที่บ้านหนองจานและหนองหญ้าแก้ว กลายเป็นประเด็นถกทั่วประเทศ หลัง กัน จอมพลัง อินฟลูเอนเซอร์สายลุย เข้าไปปล่อย “เสียงผี” ไล่ชาวกัมพูชา จนสังคมตั้งคำถามว่านี่คือยุทธวิธีทางจิตวิทยาหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่ อังคณา นีละไพจิตร สว.และนักสิทธิมนุษยชนระดับโลก ออกมาเตือนบนหลักอนุสัญญา CAT แต่กลับถูกโซเชียลบางส่วนถล่มและตั้งคำถามถึงความเป็นคนไทยของเธอ เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าสังคมไทยยังสับสนระหว่าง “ความถูกใจ” กับ “ความถูกต้อง” และยังไม่เข้าใจบทบาทของนักสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง ว่าพวกเขาคือผู้ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อไม่ให้มนุษย์กลับไปทำร้ายกันเองอีกเหมือนในประวัติศาสตร์

เกิดอะไรขึ้นกับ สว. อังคณา ? น่าสนใจว่า คนไทยเข้าใจเรื่อง สิทธิมนุษยชน มากน้อยแค่ไหน ในสังคมประชาธิปไตย คนเราเห็นต่างกันได้ ยึดหลังเสียงข้างมาก แต่ต้องรับฟังเสียงข้างน้อย แต่ดูเหมือนคนในโซเชียลไทย  ส่วนหนึ่งจะไม่ใช่แบบนั้น ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เริ่มลังเลว่า การปล่อยเสียงผี ขับไล่ชาวกัมพูชา เป็นวิธีที่ถูกใจ แต่ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่ เป็นยุทธวิธีทางจิตวิทยา หรือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ? โอ๋อยากลองชวนทุกคนมา ขบคิดจากเรื่องนี้ไปพร้อมๆกัน
—----------------------

กรณีข้อพิพาทชายแดน ไทย-กัมพูชา ที่ บ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง เมื่อชาวกัมพูชายังไม่ยอมย้ายออก ตามเส้นตาย  10 ต.ค. ทำให้คนไทยอยากหาวิธีในการช่วยรัฐจัดการ  หนึ่งในนั้นคือ กัน จอมพลัง อินฟลูฯ สายลุย ได้เข้าไปในพื้นที่เปราะบางเพื่อกระทำการปล่อย “เสียงผี ” เพื่อก่อกวนการพักอาศัย จนกลายเป็นประเด็นที่คนในสังคมไทย  เกิดความเห็นต่าง เป็น 2 ฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งมองว่า เป็น ยุทธวิธีทางจิตวิทยา หรือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ?

โดยหนึ่งในคนที่ออกมาแสดงความเห็นต่าง คือคุณ อังคณา นีละไพจิตร สว.และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก เธออุทิศตัวต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมาทั้งชีวิตหลังเจอบาดแผลใหญ่  เมื่อสามีของเธอถูกอุ้มหายตัวไปในปี 2547  จนเธอได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ 
ทั้ง รางวัลควังจูเพื่อสิทธิมนุษยชน  ในปี พ.ศ. 2549 รางวัลแมกไซไซ  ในปี พ.ศ. 2562  ดังนั้น หลักการ และ การออกมาแสดงความคิดเห็นของเธอในเรื่องนี้ “อาจไม่ถูกใจ แต่เชื่อได้ว่ามีหลักการ ที่ควรค่าแก่การรับฟัง”

คุณอังคณา ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า  
“ การกระทำดังกล่าว อาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการทรมานทางจิตวิทยา ตามอนุสัญญา CAT ที่ประเทศไทยเป็นภาคี และทุกอย่างถูกรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ  อาจไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์และจะทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลกได้ ”

ส่วนตัวโอ๋เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เจตนาดีกับประเทศไทย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า คุณอังคณา กำลังโดนโจมตี

ทั้งที่สิ่งที่เธอแสดงความเห็น อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง  กลับถูกล่าแม่มด และ ถูกพร้อมเรียกร้องให้ตรวจสอบจริยธรรม  
ลามไปถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับ  “ความเป็นคนไทย” ของเธอ 

น่าขบคิดนะว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่เราบอกว่า เราเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้ใครแสดงความเห็นอะไรที่ไม่ถูกใจ “ชาวโซเชียล” 
จะเจอดราม่า ล่าแม่มด ขุดอดีต ใช้คำพูดเหยียด เพราะมองเรื่องความสะใจ  มากกว่า เหตุและผล 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณอังคณา ทำให้อยากตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้ว
คนไทยมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน มากน้อยแค่ไหน?


—-----------
นักสิทธิมนุษยชนสำคัญอย่างไร?
—----------
นักสิทธิมนุษยชน  คือใคร ?
สิ่งที่กำหนดว่าใครเป็นนักสิทธิมนุษยชน ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งหรืออาชีพ แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาทำ 
หากผู้นั้นทำหน้าที่ ส่งเสริม หรือ ปกป้อง สิทธิมนุษยชน ด้วยวิธีการที่สันติ ใช่หมด 

เพราะตามหลักของ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ระบุว่า
“ ทุกคนมีศักดิ์ศรีและสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ว่ารัฐจะรับรองหรือไม่ก็ตาม”
ปกป้อง “สิทธิมนุษย์ในทุกด้าน” เช่น การประหารชีวิตโดยพลการ  การทรมาน  
การเลือกปฏิบัติทางเพศ เชื้อชาติ หรือ ศาสนา  สิทธิแรงงาน ไปจนถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม

แต่ไม่ใช่ว่า นักสิทธิมนุษยชน 1 คนต้องรณรงค์ในทุกๆเรื่อง แต่คือผู้สร้างสมดุล ให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน
โดยที่ไม่พึ่ง การคัดเลือกตามธรรมชาติ เพียงอย่างเดียว เพราะตามธรรมชาติคัดสรร 
ผู้แข็งแกร่งย่อมได้เปรียบ นั่นอาจทำให้เพศหญิง หรือ ผู้ที่อ่อนแอกว่า ถูกเอาเปรียบได้

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของนักสิทธิมนุษยชน  แม้ความเห็นของพวกเขา 
"ถูกต้อง แต่ไม่ ถูกรับฟัง " คือเหตุการณ์ ก่อนเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว โดยนาซี 

ฮิตเลอร์  ได้เถลิงอำนาจและปกครองด้วยแนวคิด ชาตินิยมสุดโต่ง ปลูกฝังความเกลียดชังต่อชาวยิว  ว่าไม่ใช่เผ่าพันธุ์ของผู้มีอารยัน
(ชาวเยอรมันแท้ ผมทอง ตาสีฟ้า ที่มีสิทธิจะได้ปกครองโลก ชาวยิวสมควรถูกกำจัด) ตอนนั้น…มีนักสิทธิมนุษยชน นักบวช และนักศึกษาเยอรมันหลายคน พยายามออกมาให้ความรู้ประชาชน ต่อต้านนโยบายรัฐสุดโต่ง แต่ในประเทศ เผด็จการ เสียงของพวกเขามักดังไม่พอ  ส่วนใหญ่มักถูกจับกุมไปปรับทัศนคติ หรืออุ้มหายไป จนเกิดเหตุการณ์อัปยศในหน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ  ที่มีประชาชนผู้บริสุทธ์ต้องสังเวยชีวิตไปกว่า 6 ล้านคน 
 

ปัจจุบัน ฝั่งนักเคลื่อนไหวผู้หญิง นักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ ประกาศยืนเคียงข้างอังคณา
พร้อมเรียกร้องให้สังคมหันมาสร้างวัฒนธรรมแห่งความเข้าใจและสันติภาพ เพราะความรักชาติที่แท้ไม่อาจตั้งอยู่บนซากศพของเพื่อนมนุษย์ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาล กองทัพ และองค์กรอิสระ ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างโปร่งใส  และยุติการใช้วาทกรรมชาตินิยมที่สร้างความเกลียดชัง 

ดังนั้นก็อาจจะสรุปได้ว่า นักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ผู้ที่โลกสวย แต่คือผู้ที่มองมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
และลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิที่พวกเราแต่ละคนพึงมี ปกป้องมนุษย์ทุกคนที่กำลังถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
โดยที่ไม่ต้องรู้จักกัน หรือ มีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แค่เป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกันเท่านั้นเอง
และคอยย้ำเตือนไม่ให้มนุษย์ กลับไปทำร้าย มนุษย์ด้วยกันซ้ำ เหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมา....
 


ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ : -