
สรุปข่าว
การทำงานหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายและก้าวสู่ความสำเร็จถือเป็นหนึ่งในค่านิยมที่คนจีนยึดถือมาโดยตลอด ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจและธุรกิจจีนเติบใหญ่และรุดหน้าสู่ระดับโลกในปัจจุบัน หลายคนที่ต้องทำงานร่วมกับคนจีนก็อาจรู้สึกว่าคนจีนทำงานเร็วมาก จนอาจแปลกใจว่าพนักงานเหล่านี้มีเวลาพักผ่อนนอนหลับกันบ้างหรือเปล่า ...
กระแสการทำงานหนักของจีนพุ่งพล่านจนมีคนขนานนามว่าเป็นการทำงานในสูตร “996” ที่ทำงานจาก 9 โมงเช้า (9 a.m.) ถึง 3 ทุ่ม (9 p.m.) และ 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งถือปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในหมู่กิจการบิ๊กเทค สตาร์ตอัพ และกิจการเอกชนอื่นในช่วงหลายปีหลัง จนเกิดเป็นปัญหาตามมาอยู่เนืองๆ
การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่หมูอย่างที่คิด เพราะวัฒนธรรมการทำงานดังกล่าวเกี่ยวข้องกับหลายแง่มุม อาทิ ด้านกฎหมาย เศรษฐกิจระดับจุลภาคและมหภาค มาตรฐานการใช้ชีวิตและสังคม

ในด้านหนึ่ง กิจการจีนต่างเผชิญกับแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องการพัฒนาธุรกิจ และมุ่งหวังให้พนักงานของตนผลิตผลงานออกมามากและเร็วขึ้นเพื่อนำไปสู่ยอดขาย ผลกำไร คุณค่าของแบรนด์ และอื่นๆ
“วัฒนธรรม 996” กลายเป็นประเด็นสำคัญด้วยหลายเหตุการณ์และเหตุผล คนดังอย่างแจ็ก หม่า ผู้ร่วมก่อตั้งอาลีบาบา (Alibaba) เคยเปรียบเปรยไว้ว่า “วัฒนธรรม 996” เป็นเสมือน “ฟ้าประทาน” ที่ช่วยให้กิจการไฮเทคของจีนได้รับประโยชน์อย่างมาก และเติบโตได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
ขณะที่ ริชาร์ด หลิว หรือหลิว เฉียงตง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอเจดี (JD.com) ที่เพิ่งประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง ก็เคยกล่าวโจมตีพนักงานที่ไม่ทุ่มเทว่าเป็น “คนเกียจคร้าน” เช่นกัน จนนำไปสู่การโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงในเวลาต่อมา

งานวิจัยหนึ่งระบุว่า คนจีนต้องทำงานเฉลี่ยถึง 300 ชั่วโมงต่อเดือน ขณะที่ข้อมูลของรอยเตอร์ส (Reuters) ที่ได้รับจากพนักงานรวมกว่า 4,000 คนของ BAT พี่ใหญ่ในวงการดิจิตัลของจีน ก็เปิดเผยว่า หลายคนทำงานราว 12 ชั่วโมงต่อวัน เหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงไปถึงการทำงานใน “วัฒนธรรม 996” และนำไปสู่หลายเหตุการณ์สลดในเวลาต่อมา
ตัวอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2020 เมื่อพนักงานของกิจการสื่อแห่งหนึ่งเป็นลมล้มลงในห้องน้ำและหัวใจวายเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังจากที่ทำงานต่อเนื่องยาวนานถึง 12 ชั่วโมง
จากการสัมภาษณ์พนักงานของสื่อดังกล่าว พบว่า พวกเขาต้องทำงานมากกว่า 300 ชั่วโมงต่อเดือน และได้พักไม่ถึง 3 วันต่อเดือนในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่พนักงานเดลิเวอรี่อาหารของแพล็ตฟอร์มชื่อดัง “เอ้อเหลอะเมอะ” (Ele.me) เสียชีวิตขณะจัดส่งอาหาร และหลังจากนั้นเพียงราวหนึ่งเดือน คนขับรถส่งอาหารก็ประท้วงนายจ้างในประเด็นความขัดแย้งเรื่องค่าล่วงเวลาด้วยการจุดไฟเผาตัวเอง
และตามมาด้วยพนักงาน 2 คนของพินตัวตัว (Pinduoduo) หนึ่งในกิจการอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน ที่เสียชีวิตกะทันหันห่างกันเพียงไม่กี่สัปดาห์ในช่วงต้นปี 2021 รายแรกเป็นพนักงานหญิงล้มลงขาดใจตายขณะเดินทางจากที่ทำงานกลับที่พัก ขณะที่อีกรายหนึ่งฆ่าตัวตาย

บริษัทไม่อาจอธิบายถึงสาเหตุของเหตุการณ์เสียชีวิตดังกล่าวได้ แม้จะชี้แจงในเวลาต่อมาว่า บริษัทได้จัดให้มีบริการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแก่พนักงาน ส่งผลให้สังคมก็รู้สึกว่า การจัดหาบริการดังกล่าวไม่มากพอที่จะแก้ไขปัญหาหรือเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมดังกล่าว
พนักงานจำนวนมากยังแสดงความรู้สึกผ่าน “เหว่ยปั๋ว” (Weibo) สื่อสังคมออนไลน์ชั้นนำของจีน บางคนระบายความในใจว่า “ผมรู้สึกเหนื่อยมาก ขณะที่กิจการรายใหญ่ร่ำรวยมากขึ้น ผมจำไม่ได้ว่าเห็นแสงอาทิตย์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มันยุติธรรมแล้วหรือ”
เหตุการณ์เหล่านี้นับว่ามีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการทำงานหนักที่ได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และทำให้กระแสต่อต้าน “วัฒนธรรม 996” ดูจะหนักหน่วงและขยายวงกว้างมากขึ้นจนเข้าสู่ขั้นวิกฤติ
ยิ่งหากเรามองลึกลงไปก็พบว่า พนักงานของกิจการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนใน Gen Y และ Z รวมทั้งคนรุ่นใหม่อื่น ที่ต่างมองหาวิถีชีวิตที่ยืดหยุ่น และความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัวในการเลือกเมืองและสถานที่ทำงานในระดับที่สูงขึ้น
ยิ่งในช่วงวิกฤติโควิด-19 จีนก็เผชิญกับอัตราการเกิดที่ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ และต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในยุคหน้าอีกด้วย ทำให้เป็นปัจจัยที่ปลุกเร้ากระแสต่อต้านทางสังคมต่อการทำงานหนักยิ่งขึ้น

ถึงขนาดมีกระแสต่อต้านจากกลุ่มพนักงานอย่างเป็นรูปธรรมอยู่เนืองๆ อาทิ เมื่อปี 2019 กลุ่มโปรแกรมเมอร์ในจีนได้รวมตัวกันจัดทำแคมเปญสร้างแพล็ตฟอร์มโค้ดแชร์ริ่ง “จิ๊ตฮับ” (Github) ที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้เปิดเผยเกี่ยวกับรายละเอียดของสภาพแวดล้อมในการทำงาน และการใช้งานหนักของบริษัทต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การขึ้นทะเบียนรายชื่อบิ๊กเทคและสตาร์ตอัพที่ใช้งานพนักงานหนักเกินขอบเขตรวม 150 แห่ง
ในด้านเศรษฐกิจ ผลิตภาพขององค์กรในระดับจุลภาคก็อาจสะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคอีกด้วย ซึ่งก็เป็นสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลคาดหวังเช่นกัน แต่ด้วยต้นทุนทางสังคมที่สูงลิ่วก็ทำให้ภาครัฐต้อง “ออกโรง” เข้ามาจัดระเบียบในด้านนี้
รัฐบาลจีนจึงสัญญาณชัดเจนว่าไม่ต้องการเอา “สุขภาพและชีวิต” ของประชาชนมาแลกกับผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ โดยได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับระยะเวลาการทำงานของคนจีนที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัง สี จิ้นผิง ประกาศนโยบาย “ความเจริญรุ่งเรืองถ้วนหน้า” (Common Prosperity) ที่ต้องการกระจายความมั่งคั่ง และเพิ่มสัดส่วนคนชั้นกลาง
แม้ว่าจีนจะประสบความสำเร็จในการขยายเศรษฐกิจจนก้าวขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ ในปัจจุบัน แต่รัฐบาลจีนก็มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศว่าควรมุ่งเน้นมิติเชิง “คุณภาพ” มากกว่าเชิง “ปริมาณ” ในช่วงหลายปีหลัง และเห็นว่าการทำงานเป็นเสมือน “การวิ่งมาราธอน” ที่ต้องออมกำลัง และไม่ให้หมดแรงก่อนถึงเส้นชัย การทำงานที่ยาวนานกว่าที่ควรจะเป็นอาจไม่เป็นผลดีในระยะยาว

ในด้านกฎหมาย รัฐบาลจีนระบุถึงบทลงโทษของการกำหนดตารางเวลาการทำงานที่มากเกินระดับที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ตามกฎหมายแรงงานจีนระบุว่า ชั่วโมงการทำงานมาตรฐานอยู่ที่ 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือเฉลี่ยไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาตามชั่วโมงการทำงานที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่การทำงานนอกเวลาต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อเดือน และหากต้องการขยายเวลาการทำงานมากกว่าที่กำหนดไว้อันเนื่องจากความจำเป็นทางธุรกิจ ก็จำเป็นที่ธุรกิจต้องผ่านการปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานและพนักงานขององค์กรนั้นๆ
นอกจากนี้ ศาลสูงสุดของจีนก็ได้แสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานตาม “วัฒนธรรม 996” กล่าวคือ เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ศาลสูงสุดร่วมกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมประกาศไว้ว่า แรงงานทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ “การพักผ่อนและการลาพักร้อน” และเป็นเงื่อนไขภาคบังคับของระบบชั่วโมงทำงานตามกฎหมายแรงงานของจีน
ศาลสูงสุดของจีนยังกล่าวอีกว่า “ไม่มีอะไรเสียหายกับการผลักดันการทำงานหนัก แต่ก็ไม่อาจละเมิดสิทธิ์ของแรงงานตามกฎหมายได้” โดยมีศาลจีนและกระทรวงแรงงานอย่างน้อย 10 แห่งที่มีบทลงโทษกิจการที่บังคับให้พนักงานทำงานเกินเวลา
ดังนั้น ในแง่ของกฎหมาย เราอาจพบว่า กิจการจำนวนมากในหลายอุตสาหกรรมของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการบิ๊กเทค สื่อ การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และก่อสร้าง ได้ฝ่าฝืนกฎหมายแรงงานของจีน ทั้งจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

โดยงานวิจัยหนึ่งพบว่า ในระหว่างปี 2016-2021 จีนมีคดีฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลเกี่ยวกับวัฒนธรรมการทำงาน 996 รวมกว่า 130 คดี
อย่างไรก็ดี ในระยะหลัง กิจการหลายราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิ๊กเทค ได้เริ่มปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและนโยบายของรัฐบาลจีน และพฤติกรรมและวิถีชีวิตของพนักงานมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2021 ไบต์แดนซ์ (ByteDance) กิจการแม่ของติ๊กต็อก (TikTok) ได้ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร และเปลี่ยนชั่วโมงการทำงานไปสู่ “วัฒนธรรม 1075” ด้วยความสมัครใจ กล่าวคือ เริ่มเข้างาน 10 โมงเช้า (10 a.m.) และเลิกงาน 1 ทุ่ม (7 p.m.) สัปดาห์ละ 5วัน หรือทำงานราว 45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (รวมการพักรับประทานอาหารกลางวัน) โดยหลีกเลี่ยงการทำงานนอกเวลา
หลังจากนั้นไม่นาน บิ๊กเทคหลายราย อาทิ ไคว่โช่ว (Kuaishou) บิลลี่บิลลี่ (Bilibili) และเทนเซ้นต์ (Tencent) ก็เริ่มนำเอา “วัฒนธรรม 1075” มาประยุกต์ใช้ในองค์กรเช่นกัน ขณะเดียวกัน ก็มีคนเสนอความคิดเห็นให้ไปไกลถึง “วัฒนธรรม 955” เหมือนของชาติตะวันตก
ความแตกต่างของวัฒนธรรมการทำงาน
| วัฒนธรรม 996 | วัฒนธรรม 1075 | |
| เวลาเข้างาน | 9 โมงเช้า | 10 โมงเช้า |
| เวลาเลิกงาน | 3 ทุ่ม | 1 ทุ่ม |
| จำนวนวันทำงานต่อสัปดาห์ | 6 วัน | 5 วัน |
| การทำงานนอกเวลา | 40-50 ชั่วโมง | ไม่เกิน 36 ชั่วโมง |

แต่พนักงานบางส่วนก็ไม่พอใจกับการลดชั่วโมงการทำงานในบริษัทของตนเอง เพราะภายใต้วัฒนธรรมการทำงานใหม่ พวกเขายังคงต้องรับผิดชอบเนื้องานเท่าเดิม จึงหนีไม่พ้นการต้องขนงานกลับไปทำต่อที่บ้านอยู่ดี แถมยังไม่ได้ค่าล่วงเวลาและค่าตอบแทนอีกด้วย!
ในปีเสือ วัฒนธรรมการทำงานของคนจีนคาดว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในวงกว้าง แต่ผมก็หวังว่าวัฒนธรรมการทำงานใหม่จะไม่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าในด้านอื่นแกว่งตัว และกระทบต่อเป้าหมายการพัฒนาในระยะยาวที่จีนวางไว้
ในโอกาสปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ผมก็ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านเคารพนับถือได้โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้อ่าน ครอบครัว และคนที่เคารพรัก ประสบแต่ความสุขความเจริญ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลจากโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ และคิดมุ่งหวังสิ่งใด ก็ขอให้สัมฤทธิ์ผลดังปรารถนาทุกประการ โดยไม่ต้องทำงานหนักเหมือนวัฒนธรรม 996 กันนะครับ ...
ภาพจาก AFP
- ล้าง "คำสาป" อายุ 35 หางานยาก-เลิกจ้าง จีนแก้กฎรับสังคมสูงวัย l World Wide Wealth
- อาเซียน-จีน ประชุมกรอบความร่วมมือใช้เอไอในงานสื่อมวลชน
- จีนประณามรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวหาใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือต่อรอง
- จีนเลิก "แบน" อาหารทะเลญี่ปุ่น จ่อนำเข้าอีกครั้ง
- "คนจีน" ไม่กล้าใช้จ่าย 80 % หันออมเงิน แม้ดอกเบี้ยต่ำ
- เมื่อจีนใช้มังกรน้อย พลิกฟื้นชนบท (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand