
สรุปข่าว
นอกเหนือจากการพัฒนา “ความเสรี” ในด้านการค้า และอุตสาหกรรมการผลิตบางส่วนของ “พื้นที่พิเศษหลิงกั่ง” แล้ว วันนี้ เราจะคุยกันต่อถึง “ก้าวแรก” ของความสำเร็จในมิติอื่นๆ ก่อน “ก้าวต่อไป” ของว่าที่ “เมืองแห่งนวัตกรรม” ของโลกในอนาคตกันครับ ...
อย่างที่ผมเกริ่นไปเมื่อคราวก่อนว่า หลิงกั่งถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่แห่งการพัฒนารถยนต์พลังงานทางเลือก นอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่พื้นที่ฯ พยายามพัฒนาให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เราจึงเห็นการเสริมสร้างระบบนิเวศของห่วงโซ่อุปทานพลังงานไฮโดรเจนในพื้นที่ฯ อย่างก้าวกระโดด
ไล่ตั้งแต่โครงการวิจัยในมหาวิทยาลัยที่เชื่อมโยงไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาของกิจการที่เกี่ยวข้อง อาทิ รถยนต์ขนาดใหญ่ และเรือ ผ่านการทดสอบแพลตฟอร์มนวัตกรรมเทคโนโลยีนับแต่ปี 2005 ไปจนถึงการจัดตั้งบริษัทใหม่ในระยะหลัง ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมพลังงานไฮโดรเจนมีรากฐานที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่น ในปลายไตรมาสที่ 3 ปี 2019 มหาวิทยาลัยเจียวทง (Jiao Tong University) เชินเนอร์จีกรุ๊ป (Shenergy Group) และหลิงกั่งกรุ๊ป (Lingang Group) ได้ร่วมกันก่อสร้าง “สวนอุตสาหกรรมไฮโดรเจน” และการก่อสร้างสถานีเติมน้ำมัน-ไฮโดรเจนที่ให้บริการแก่รถโดยสารประจำทางพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งสามารถให้แรงม้าในการขนส่งผู้โดยสารได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งกองทุนความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม-มหาวิทยาลัย-ศูนย์วิจัยเพื่อการวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานไฮโดรเจนในพื้นที่ฯ และการลงทุนของกิจการรายใหญ่อย่างปิโตรไชน่า (Petrochina) เจ้าแห่งกิจการพลังงานของจีน เชินเหนิงกรุ๊ป (Shenneng Group) รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานจากเซี่ยงไฮ้ และเป็นบริษัทแม่ของเชินเนอร์จีกรุ๊ป และซีอาร์อาร์ซี (CRRC) รัฐวิสาหกิจจีนด้านการขนส่งทางรถไฟรายใหญ่ของโลก
เซมิคอนดักเตอร์ก็เป็นอีกอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ ทำให้เราเห็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องเข้าไปลงทุนในพื้นที่ฯ อย่างคึกคัก โดยรายใหญ่สุดที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ฯ ก็ได้แก่ เอเม็ค (AMEC) หรือในชื่อเต็มว่า “Advanced Micro-Fabrication Equipment” ที่ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาทิ ศูนย์วิจัย ทดสอบ และผลิตแผงวงจรรวมเพื่อส่งให้ลูกค้า อาทิ เอสเอ็มไอซี (SMIC) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่สุดของจีน ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญของสมาร์ตโฟน รถยนต์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อไม่นานมานี้ เอเม็คยังลงทุนในโรงงานขนาดใหญ่เพื่อผลิตมินิแอลอีดีและชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องคุณภาพสูง สินค้าเหล่านี้กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากของโรงงานผลิตโทรทัศน์แบบจอแอลอีดี แท็บเล็ต แล็บท๊อป สมาร์ตโฟน จอมอนิเตอร์และแผงหน้าจอรถยนต์ โดยบริษัทวิจัยแห่งหนึ่งระบุว่า ยอดขายของทีวีแบบจอแอลอีดีอยู่ระหว่าง 2.6-3 ล้านชิ้นในปัจจุบันและมีศักยภาพที่จะเติบโตแรงในอนาคต
นอกจากนี้ พื้นที่ฯ ยังเตรียมแผนลงทุนจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเฉพาะทางอีกหลายด้าน อาทิ องค์ประกอบด้านแสงอินฟาเรด ตัวประมวลผลลอจิกอัจฉริยะ ชิปซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ชิปแบบสารผสม และชิปเอไอ เพื่อรองรับความต้องการในสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ฉลาดและสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน แม้ว่าหลิงกั่งจะพัฒนาไปข้างหน้า แต่ก็ไม่ต้องการทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยที่หลิงกั่งตั้งอยู่บริเวณชานเมือง จึงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของเซี่ยงไฮ้มาก่อน รัฐบาลจีนจึงต้องการรักษาและต่อยอดภาคการเกษตรเอาไว้ โดยปรับให้พื้นที่ฯ เป็นแหล่งรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรสมัยใหม่ ซึ่งบริษัทด้านการเกษตรของต่างชาติรายแรกที่เข้าไปจดทะเบียนในพื้นที่ฯ ก็ได้แก่ ซีพี นั่นเอง
พื้นที่ฯ วางแผนพัฒนาภาคการเกษตรโดยอาศัยโมเดล “เกษตร+ปัญญาประดิษฐ์” ซึ่งเคยถูกนำไปเปิดตัวในงานประชุมปัญญาประดิษฐ์โลก (The World Artificial Intelligence Conference) เมื่อกลางปี 2020
โมเดลใหม่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้จีนบรรลุเป้าหมายในเรื่องอาหารปลอดภัยและความมั่นคงด้านอาหาร การสร้างความกระชุ่มกระชวยในชนบท และการสานฝันของจีนให้เป็นรูปธรรม
เทคโนโลยีดิจิตัลที่กิจการในพื้นที่ฯ มีอยู่มากมาย อาทิ การรับรู้และการวิเคราะห์อัจฉริยะ เซ็นเซอร์และอุปกรณ์อัจฉริยะ และบิ๊กดาต้าด้านการเกษตรและชนบท จะถูกต่อยอดและใช้อย่างกว้างขวางในการส่งเสริมการผนวกการเกษตร ชนบท และเกษตรกรเข้าด้วยกัน
นี่ดูเหมือนจะเป็นการส่งสัญญาณว่า การวางพื้นฐานของการเกษตรสมัยใหม่ของจีนในพื้นที่ฯ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และหลิงกั่งเป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องที่คาดว่าจะกลายเป็นต้นแบบสำคัญสำหรับการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ของจีนในอนาคต
แต่คิดแล้วก็อดละเหี่ยใจไม่ได้ เพราะย้อนหลังกลับไปเมื่อราว 40 ว่าปีก่อนในสมัยที่ท่านเติ้ง เสี่ยวผิงนำคณะมาเยือนไทยก่อนประกาศเปิดประเทศสู่โลกภายนอก คณะจีนยังให้ความสนใจมาศึกษาดูงานด้านการเกษตรของไทยอยู่เลย แต่มาถึงวันนี้และอนาคต ไทยเราคงต้องไปศึกษาดูงานภาคการเกษตรของจีนกันซะแล้ว
ในด้านการเงิน พื้นที่ฯ พยายามลดเงื่อนไขของการเคลื่อนย้ายทุนเข้าออกจีน ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดสำคัญที่กิจการต่างชาติต้องเผชิญเวลาเข้าไปลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยปฏิรูปการจัดการด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้มีความสะดวกคล่องตัวยิ่งขึ้นเสมือนว่าเงินทุนเหล่านั้นอยู่นอกจีนแผ่นดินใหญ่
ในทางปฏิบัติ รัฐบาลจีนก็ดำเนินมาตรการใหม่ๆ ในพื้นที่ อาทิ การยกเลิกการควบคุมวงเงินสินเชื่อในต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้ขยายการปล่อยสินเชื่อร่วมระหว่างสกุลเงินท้องถิ่นและของต่างประเทศ และอื่นๆ มาตรการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอุปสงค์เงินหยวนในเวทีโลกในอนาคต
โดยในชั้นนี้ พื้นที่ฯ มีกิจการให้บริการทางการเงินของจีนและต่างชาติรวมกว่า 800 รายที่ไปเปิดสาขาในพื้นที่ฯ อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรแห่งชาติจีน (ABC) ธนาคารเพื่อการออมและไปรษณีย์แห่งชาติจีน (Postal Savings Bank of China) เอชเอสบีซี (HSBC) ยูโอบี (UOB) และธนาคารในหลายระดับของจีน รวมทั้งแบงก์กรุงเทพของไทย

ภาพจาก : Shanghai Lingang Innovation Center
ในด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ที่หลิงกั่งมีแต้มต่ออยู่มาก พื้นที่ฯ ก็พยายามลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผ่านสิทธิประโยชน์พิเศษ อาทิ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในธุรกรรมการขนส่ง การยกขนและการจัดเก็บสินค้าในพื้นที่สินค้าทัณฑ์บน เพื่อทำให้กิจการที่เกี่ยวข้องมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น
หนึ่งในการดำเนินงานสำคัญก็ได้แก่ การพัฒนาเขตสินค้าทัณฑ์บนพิเศษครบวงจรหยางซาน (Yangshan Special Comprehensive Bonded Area) เพื่อเป็น “สวนการค้าเสรี” ผ่านธุรกิจทัณฑ์บนทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการบำรุงรักษา
ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เขตสินค้าทัณฑ์บนฯ ดังกล่าวมีกิจการที่เกี่ยวข้องเข้าไปทำธุรกิจเป็นจำนวนถึง 1,300 บริษัท ในจำนวนนี้เป็นกิจการรายใหม่มากกว่า 200 บริษัทเข้าไปลงทุนในพื้นที่ฯ โดยมี 12 รายเป็นสายเรือใน Top 50 ของโลก และอีก 12 กิจการโลจิสติกส์ใน Top 50 ของจีน รวมทั้ง 3 กิจการรับจัดการขนส่งสินค้าใน Top 10 ของโลก
พื้นที่ฯ ยังพยายามสานต่อการมีอยู่ของท่าเรือหยางซาน “หยางซานพลัส” ในพื้นที่ฯ และปริมาณสินค้าผ่านท่าจำนวนมหาศาลในแต่ละปี จากสถิติในปี 2021 ท่าเรือแห่งนี้มีสินค้าผ่านท่าถึงกว่า 22.8 ล้าน TEUs ครองแชมป์ท่าเรือใหญ่ที่สุดในโลก 12 ปีต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีหลัง รัฐบาลจีนได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากมายเพื่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศด้านโลจิสติกส์ อาทิ การก่อสร้างศูนย์บริการสินค้าระหว่างประเทศผ่านท่าเรือหยางซานแบบไม่เต็มตู้สาธารณะ (Yangshan International Transit Container LCL Public Service Center) และศูนย์แลกเปลี่ยนตู้คอนเทนเนอร์เปล่าภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeast Asia Empty Container Exchange Center) เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ดังเช่นที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีหลัง
นอกจากนี้ นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 รัฐบาลจีนยังได้อนุญาตให้หยางซานเป็นท่าเรือนำร่องที่เปิดให้สายเรือต่างชาติสามารถขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์เชื่อมต่อกับท่าเรือภายในประเทศได้ ซึ่งช่วยให้ท่าเรือหยางซานถูกยกระดับเป็นท่าเรือหลักระดับโลกที่เชื่อมโยงกับหลายท่าเรือใหญ่ในจีนอีกด้วย
ขณะเดียวกัน กิจการโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าชั้นนำต่างเข้าไปลงทุนในระบบอัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ ศูนย์จัดเรียงและกระจายสินค้าอัจฉริยะของซุนเฟิง (SF Intelligent Sorting and Distribution Center)
ในด้านการจ้างงานเสรี หลิงกั่งยังเป็นพื้นที่นำร่องในการออกวีซ่าออนไลน์ ใบอนุญาตทำงานและอยู่อาศัยแก่คนที่มีพรสวรรค์ต่างชาติและครอบครัวสูงถึง 5 ปี ให้คำแนะนำแก่คนพรสวรรค์ต่างชาติในการยื่นเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรและ “ช่องทางสีเขียว” (Green Channel) ที่ช่วยลดเวลาในการพิจารณาอนุมัติจาก 180 วันทำงานเหลือ 90 วัน
สำหรับด้านความสะดวกด้านข้อมูลนั้น พื้นที่ฯ เป็นศูนย์จัดเก็บข้อมูลและแลกเปลี่ยนข้อมูลอัจฉริยะทางอินเตอร์เน็ตภายในประเทศ และยังเป็นเวทีนำร่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกิจระหว่างประเทศแห่งแรกของจีน
มาถึงวันนี้ “พื้นที่พิเศษหลิงกั่ง” ได้ “ตั้งหลัก” ได้แล้ว คราวหน้าเราจะไปคุยกันว่า “หลิงกั่ง” จะ “วิ่ง” อย่างไรในช่วง 3 ปีข้างหน้าก่อนที่จะขึ้น “บิน” สู่เมืองแห่งนวัตกรรมของโลก ...
ภาพจาก : Shanghai Lingang Innovation Center
- อาเซียน-จีน ประชุมกรอบความร่วมมือใช้เอไอในงานสื่อมวลชน
- จีนประณามรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวหาใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือต่อรอง
- จีนเลิก "แบน" อาหารทะเลญี่ปุ่น จ่อนำเข้าอีกครั้ง
- "คนจีน" ไม่กล้าใช้จ่าย 80 % หันออมเงิน แม้ดอกเบี้ยต่ำ
- เมื่อจีนใช้มังกรน้อย พลิกฟื้นชนบท (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
- เจนซี "จีน" เป็นฮีโร่ไม่รู้ตัว ใช้จ่ายตามอารมณ์ = ช่วยชาติ ?
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand