จีนทำอย่างไรให้ SME เติบใหญ่ (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

จีนทำอย่างไรให้ SME เติบใหญ่ (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

สรุปข่าว

แล้ว SME จีนใดอีกบ้างที่สามารถเปลี่ยน “วิกฤติ” ที่ผ่านมาให้เป็น “โอกาส” ทางธุรกิจ ไปส่องกันต่อเลยครับ ...


ไม่ใช่เฉพาะผู้ผลิตจีนเท่านั้นที่ต้องปรับตัว แต่ผู้บริโภคจีนบางส่วนก็มีทางเลือกจำกัด ต้องหันมาให้ความสำคัญกับ “ความสะดวก” โดยเลือกสั่งสินค้าและอาหารผ่านบริการออนไลน์ จนทำให้ SME ที่สายป่านไม่ยาวพอหรือไม่อาจปรับตัวรองรับอุปสงค์ใหม่ของตลาดได้ทันการณ์ ต้องปิดตัวลงไปเป็นจำนวนมาก


ในทางกลับกัน สินค้าและบริการบางกลุ่มก็ได้รับประโยชน์จากวิกฤติโควิดและการใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านครั้งนี้ อาทิ อาหาร ยา เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ กลุ่มไฮเทคและดิจิตัล บริการซอฟท์แวร์ อี-เกมส์ และการส่งสินค้าออนไลน์


เราอาจนึกไม่ถึงว่าอุตสาหกรรมอาหาร ยาและวิตามิน และของใช้จำเป็นอื่นไม่ได้รับผลกระทบ สินค้าเหล่านี้มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาที่ต่ำ และโดยที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ “ลดการจับจ่าย” ซื้อหาสินค้าฟุ่มเฟือย จึงไม่รีรอในการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในช่วงวิกฤติ ทำให้สินค้ากลุ่มนี้มีเม็ดเงินการใช้จ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ SME ที่มีความพร้อมด้านเงินทุน โมเดลธุรกิจที่ดี และการจัดการและโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสม ก็กลับเติบใหญ่ขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารท้องถิ่นดั้งเดิมบางรายใช้จังหวะเวลาที่รายอื่น “มึนงง” ผันตัวเองไปสู่ผู้ผลิต “อาหารพร้อมรับประทาน” พร้อมเข้าสู่ช่องทาง “ออนไลน์” และ “บริการจัดส่ง”


กลยุทธ์ดังกล่าวยังขยายต่อไปถึงกลุ่มสินค้าของขวัญของตกแต่งบ้าน เครื่องสุขภัณฑ์ ยานยนต์ และสังหาริมทรัพย์ ที่จับมือกับแพล็ตฟอร์มและลงทุนพัฒนาแอพนำเสนอ “โชว์รูมเสมือนจริง” (Virtual Showroom) จนกลายเป็นแนวทางการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ในปัจจุบัน


อุปสงค์การซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ยังทำให้สินค้าและบริการต่างต้องอาศัยแพล็ตฟอร์มการค้าออนไลน์เป็นช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภค แพล็ตฟอร์มที่มีอยู่จึงงัดเอา “ไลฟ์สตรีมมิ่ง” (Livestreaming) ออกมาเป็นทางเลือกใหม่ในการนำเสนอสินค้าและบริการ จนทำให้เราพลอยรู้จัก KOL (Key Opinion Leader) และ KOC (Key Opinion Customer) อย่างแพร่หลายไปด้วย

จีนทำอย่างไรให้ SME เติบใหญ่ (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร ภาพจาก AFP

ขณะเดียวกัน พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์แบบกลุ่ม (Group Buying) ที่พุ่งทะยานในช่วงนั้น ก็ทำให้สตาร์ตอัพอย่างพินตัวตัว (Pinduoduo) กลายเป็นหนึ่งในแพล็ตฟอร์มชั้นนำของจีนไม่นานในเวลาต่อมา


นอกจากนี้ SME ที่มีสายการผลิตอัตโนมัติที่ใช้แรงงานน้อยรายก็ได้รับผลกระทบน้อยจากการล็อกดาวน์ เพราะหากระบบขัดข้อง โรงงานก็ยังสามารถใช้บริการหลังการขายทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสมเทศได้ แถมยังอาจได้รับประโยชน์จากโอกาสทางการตลาดเพิ่มขึ้นจากการ “เติมเต็ม” อุปทานที่ขาดหายไปอีกด้วย


มาถึงประเด็นสำคัญ จีนทำอย่างไรบ้างเพื่อทุเลาอาการจากผลกระทบของวิกฤติโควิดและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของ SME ให้กลับมาเติบใหญ่อีกครั้ง


ในภาพใหญ่ รัฐบาลจีนทำตัวเป็น “ลมใต้ปีก” กำหนดนโยบายและมาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อพัฒนา “ระบบนิเวศ” ที่เกี่ยวข้องแบบถ้วนหน้าในเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย


มาตรการเหล่านี้ยังสามารถจำแนกออกเป็นระยะสั้นเพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ที่เลวร้าย และระยะยาวเพื่อสนับสนุนการพัฒนา SME อย่างยั่งยืน ผมขอเริ่มจากมาตรการระยะเร่งด่วนในระยะสั้นก่อนครับ ...


มาตรการกลุ่มแรกได้แก่ การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ในส่วนนี้ รัฐบาลจีนดำเนินการโดยมุ่งเน้นการ “เพิ่มปริมาณ ลดราคา และขยายขอบข่าย”


รัฐบาลจีนผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ “เพิ่ม” วงเงินสินเชื่อ เพื่อลดแรงกดดันจากการขาดกระแสเงินสด เพราะตระหนักดีว่า ในช่วงวิกฤติ SME มีแหล่งรายได้ที่จำกัด และต่างมองหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในระดับที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ


รัฐบาลจีนตระหนักดีว่า SME มีความสามารถในการแข่งขันที่จำกัดและไม่อาจแข่งขันในเวทีเดียวกับของกิจการรายใหญ่ได้ ดังนั้น เพื่อรักษาตลาดส่วนหนึ่งให้แก่ SME รัฐบาลจีนออกนโยบายเพิ่มการสนับสนุนผ่านการจัดหาของภาครัฐ


เราจึงเห็นรัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่ง อาทิ เมืองเฉิงตู ออกแบบมาตรการจัดซื้อของภาครัฐที่เหมาะสมกับ SME เพื่อกระตุ้นการผลิต การรักษาการจ้างงาน และการสร้างรายได้แก่ SME โดยกำหนดสัดส่วนโควต้า เกณฑ์การประเมิน และการตัดสิทธิ์การเข้าร่วมเสนอราคาในโครงการจัดหาของภาครัฐ รวมทั้งการจัดระบบการชำระเงินล่วงหน้าสำหรับ SME เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน


นอกจากการเพิ่มวงสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว จีนยังพยายาม “ลด” อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเหล่านั้น เพื่อคลายภาระทางการเงินแก่ SME และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมไปพร้อมกัน

จีนทำอย่างไรให้ SME เติบใหญ่ (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร ภาพจาก AFP

งานวิจัยหนึ่งยังระบุว่า มากกว่า 50% ของ SME จีนต่างมองหาการอุดหนุนหรือการยกเว้นในเรื่องการประกันสังคม ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน และต้นทุนและค่าใช้จ่ายอื่นที่อำนาจในการตัดสินใจอยู่กับภาครัฐโดยตรง ผมกำลังบอกว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว การอุดหนุนด้านต้นทุนถือเป็นมาตรการที่ SME จีนชื่นชอบมากที่สุด


เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว รัฐบาลจีนจึงออกมาตรการ “ผ่อนผัน” การชำระภาษีและค่าธรรมเนียม ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 รัฐบาลจีนได้ผ่อนคลายการเรียกเก็บภาษีที่เกี่ยวข้อง อาทิ การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีทรัพย์สิน และภาษีการใช้ประโยชน์ในที่ดินทั้งในชุมชนเมืองและชนบท


รวมทั้งยัง “ยืด” ระยะเวลาการเรียกเก็บภาษี เบี้ยประกันสังคม สวัสดิการการว่างงาน และประกันอุบัติเหตุในการปฏิบัติงานจากนายจ้างที่สมทบเข้ากองทุนออกไป


สำหรับ SME ที่เช่าพื้นที่ของกิจการของรัฐและไม่อาจประกอบธุรกิจได้ตามปกติ รัฐบาลก็ให้ยกเว้นค่าเช่า 100% ในเดือนแรก และอีก 50% ในเดือนที่ 2-3 โดยกิจการภาครัฐอาจพิจารณาขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าเช่าตามความเหมาะสม


และโดยที่วิกฤติโควิด “ลากยาว” ต่อเนื่องราว 3 ปีและ “แผ่ซ่าน” กระทบต่อไปในแทบทุกอณู หลายมาตรการดังกล่าว อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ย และการลดค่าเช่า จึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงยุคหลังโควิด และ “แปรสภาพ” เป็นมาตรการในระยะกลางไปโดยปริยาย


นั่นหมายความว่า เมื่อเวลาผ่านไป ธนาคารพาณิชย์จีนได้หันไปให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปพร้อมกัน โดยลดดอกเบี้ยค้างชำระ ขยายเทอมของสินเชื่อ และทำรีไฟแนนต์ พร้อมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อระยะกลางและระยะยาว


มาตรการดังกล่าวจึงมิได้มุ่งหวังเพียงความอยู่รอดและการลดภาระทางการเงินในระยะสั้น แต่มุ่งเป้าไปอยู่ที่การยกระดับและปรับโฉม SME ในระยะกลางและระยะยาวเพื่อเปิดโอกาสให้ SME วางแผนปรับระบบการจัดการ ทีมงาน และกลยุทธ์การเข้าสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วต้องใช้เวลา เงินลงทุน และทรัพยากรอื่นที่ยาวนานกว่า


ทั้งนี้ มาตรการที่มุ่งเป้าเพื่อการลดต้นทุนทางการเงินดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกบังคับให้ “ใส่เสื้อขนาดเดียวกันทั่วประเทศ” บริการทางการเงินดังกล่าวถูกกำหนดแนวทางให้ดำเนินมาตรการจำแนกตามพื้นที่ อุตสาหกรรม และกิจการตามความเหมาะสม


ยกตัวอย่างเช่น มณฑลหูเป่ยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงมากที่สุด ก็ได้รับการจัดสรรวงเงินสินเชื่อ ค่าธรรมเนียมการโอนเงิน และต้นทุนทางการเงินในระดับพิเศษ


ขณะเดียวกัน SME ในมณฑลที่ได้รับผลกระทบรุนแรง อาทิ ฉงชิ่ง กุ้ยโจว และฝูเจี้ยน SME ที่ประสบกับความยากลำบากในการผลิตและการประกอบธุรกิจ ก็สามารถเลื่อนระยะเวลาและลดอัตราการนำส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้


จีนผลักดันมาตรการระยะสั้น กลาง และยาวอะไรออกมาอีกบ้าง ไปติดตามกันต่อในตอนหน้าครับ ...



ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand