
สรุปข่าว
แล้ว SME จีนใดอีกบ้างที่สามารถเปลี่ยน “วิกฤติ” ที่ผ่านมาให้เป็น “โอกาส” ทางธุรกิจ ไปส่องกันต่อเลยครับ ...
ไม่ใช่เฉพาะผู้ผลิตจีนเท่านั้นที่ต้องปรับตัว แต่ผู้บริโภคจีนบางส่วนก็มีทางเลือกจำกัด ต้องหันมาให้ความสำคัญกับ “ความสะดวก” โดยเลือกสั่งสินค้าและอาหารผ่านบริการออนไลน์ จนทำให้ SME ที่สายป่านไม่ยาวพอหรือไม่อาจปรับตัวรองรับอุปสงค์ใหม่ของตลาดได้ทันการณ์ ต้องปิดตัวลงไปเป็นจำนวนมาก
ในทางกลับกัน สินค้าและบริการบางกลุ่มก็ได้รับประโยชน์จากวิกฤติโควิดและการใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านครั้งนี้ อาทิ อาหาร ยา เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ กลุ่มไฮเทคและดิจิตัล บริการซอฟท์แวร์ อี-เกมส์ และการส่งสินค้าออนไลน์
เราอาจนึกไม่ถึงว่าอุตสาหกรรมอาหาร ยาและวิตามิน และของใช้จำเป็นอื่นไม่ได้รับผลกระทบ สินค้าเหล่านี้มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาที่ต่ำ และโดยที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ “ลดการจับจ่าย” ซื้อหาสินค้าฟุ่มเฟือย จึงไม่รีรอในการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในช่วงวิกฤติ ทำให้สินค้ากลุ่มนี้มีเม็ดเงินการใช้จ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ SME ที่มีความพร้อมด้านเงินทุน โมเดลธุรกิจที่ดี และการจัดการและโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสม ก็กลับเติบใหญ่ขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารท้องถิ่นดั้งเดิมบางรายใช้จังหวะเวลาที่รายอื่น “มึนงง” ผันตัวเองไปสู่ผู้ผลิต “อาหารพร้อมรับประทาน” พร้อมเข้าสู่ช่องทาง “ออนไลน์” และ “บริการจัดส่ง”
กลยุทธ์ดังกล่าวยังขยายต่อไปถึงกลุ่มสินค้าของขวัญของตกแต่งบ้าน เครื่องสุขภัณฑ์ ยานยนต์ และสังหาริมทรัพย์ ที่จับมือกับแพล็ตฟอร์มและลงทุนพัฒนาแอพนำเสนอ “โชว์รูมเสมือนจริง” (Virtual Showroom) จนกลายเป็นแนวทางการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ในปัจจุบัน
อุปสงค์การซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ยังทำให้สินค้าและบริการต่างต้องอาศัยแพล็ตฟอร์มการค้าออนไลน์เป็นช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภค แพล็ตฟอร์มที่มีอยู่จึงงัดเอา “ไลฟ์สตรีมมิ่ง” (Livestreaming) ออกมาเป็นทางเลือกใหม่ในการนำเสนอสินค้าและบริการ จนทำให้เราพลอยรู้จัก KOL (Key Opinion Leader) และ KOC (Key Opinion Customer) อย่างแพร่หลายไปด้วย
ภาพจาก AFP
ขณะเดียวกัน พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์แบบกลุ่ม (Group Buying) ที่พุ่งทะยานในช่วงนั้น ก็ทำให้สตาร์ตอัพอย่างพินตัวตัว (Pinduoduo) กลายเป็นหนึ่งในแพล็ตฟอร์มชั้นนำของจีนไม่นานในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ SME ที่มีสายการผลิตอัตโนมัติที่ใช้แรงงานน้อยรายก็ได้รับผลกระทบน้อยจากการล็อกดาวน์ เพราะหากระบบขัดข้อง โรงงานก็ยังสามารถใช้บริการหลังการขายทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสมเทศได้ แถมยังอาจได้รับประโยชน์จากโอกาสทางการตลาดเพิ่มขึ้นจากการ “เติมเต็ม” อุปทานที่ขาดหายไปอีกด้วย
มาถึงประเด็นสำคัญ จีนทำอย่างไรบ้างเพื่อทุเลาอาการจากผลกระทบของวิกฤติโควิดและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของ SME ให้กลับมาเติบใหญ่อีกครั้ง
ในภาพใหญ่ รัฐบาลจีนทำตัวเป็น “ลมใต้ปีก” กำหนดนโยบายและมาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อพัฒนา “ระบบนิเวศ” ที่เกี่ยวข้องแบบถ้วนหน้าในเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย
มาตรการเหล่านี้ยังสามารถจำแนกออกเป็นระยะสั้นเพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ที่เลวร้าย และระยะยาวเพื่อสนับสนุนการพัฒนา SME อย่างยั่งยืน ผมขอเริ่มจากมาตรการระยะเร่งด่วนในระยะสั้นก่อนครับ ...
มาตรการกลุ่มแรกได้แก่ การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ในส่วนนี้ รัฐบาลจีนดำเนินการโดยมุ่งเน้นการ “เพิ่มปริมาณ ลดราคา และขยายขอบข่าย”
รัฐบาลจีนผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ “เพิ่ม” วงเงินสินเชื่อ เพื่อลดแรงกดดันจากการขาดกระแสเงินสด เพราะตระหนักดีว่า ในช่วงวิกฤติ SME มีแหล่งรายได้ที่จำกัด และต่างมองหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในระดับที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ
รัฐบาลจีนตระหนักดีว่า SME มีความสามารถในการแข่งขันที่จำกัดและไม่อาจแข่งขันในเวทีเดียวกับของกิจการรายใหญ่ได้ ดังนั้น เพื่อรักษาตลาดส่วนหนึ่งให้แก่ SME รัฐบาลจีนออกนโยบายเพิ่มการสนับสนุนผ่านการจัดหาของภาครัฐ
เราจึงเห็นรัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่ง อาทิ เมืองเฉิงตู ออกแบบมาตรการจัดซื้อของภาครัฐที่เหมาะสมกับ SME เพื่อกระตุ้นการผลิต การรักษาการจ้างงาน และการสร้างรายได้แก่ SME โดยกำหนดสัดส่วนโควต้า เกณฑ์การประเมิน และการตัดสิทธิ์การเข้าร่วมเสนอราคาในโครงการจัดหาของภาครัฐ รวมทั้งการจัดระบบการชำระเงินล่วงหน้าสำหรับ SME เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน
นอกจากการเพิ่มวงสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว จีนยังพยายาม “ลด” อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเหล่านั้น เพื่อคลายภาระทางการเงินแก่ SME และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมไปพร้อมกัน
ภาพจาก AFP
งานวิจัยหนึ่งยังระบุว่า มากกว่า 50% ของ SME จีนต่างมองหาการอุดหนุนหรือการยกเว้นในเรื่องการประกันสังคม ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน และต้นทุนและค่าใช้จ่ายอื่นที่อำนาจในการตัดสินใจอยู่กับภาครัฐโดยตรง ผมกำลังบอกว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว การอุดหนุนด้านต้นทุนถือเป็นมาตรการที่ SME จีนชื่นชอบมากที่สุด
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว รัฐบาลจีนจึงออกมาตรการ “ผ่อนผัน” การชำระภาษีและค่าธรรมเนียม ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 รัฐบาลจีนได้ผ่อนคลายการเรียกเก็บภาษีที่เกี่ยวข้อง อาทิ การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีทรัพย์สิน และภาษีการใช้ประโยชน์ในที่ดินทั้งในชุมชนเมืองและชนบท
รวมทั้งยัง “ยืด” ระยะเวลาการเรียกเก็บภาษี เบี้ยประกันสังคม สวัสดิการการว่างงาน และประกันอุบัติเหตุในการปฏิบัติงานจากนายจ้างที่สมทบเข้ากองทุนออกไป
สำหรับ SME ที่เช่าพื้นที่ของกิจการของรัฐและไม่อาจประกอบธุรกิจได้ตามปกติ รัฐบาลก็ให้ยกเว้นค่าเช่า 100% ในเดือนแรก และอีก 50% ในเดือนที่ 2-3 โดยกิจการภาครัฐอาจพิจารณาขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าเช่าตามความเหมาะสม
และโดยที่วิกฤติโควิด “ลากยาว” ต่อเนื่องราว 3 ปีและ “แผ่ซ่าน” กระทบต่อไปในแทบทุกอณู หลายมาตรการดังกล่าว อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ย และการลดค่าเช่า จึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงยุคหลังโควิด และ “แปรสภาพ” เป็นมาตรการในระยะกลางไปโดยปริยาย
นั่นหมายความว่า เมื่อเวลาผ่านไป ธนาคารพาณิชย์จีนได้หันไปให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปพร้อมกัน โดยลดดอกเบี้ยค้างชำระ ขยายเทอมของสินเชื่อ และทำรีไฟแนนต์ พร้อมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อระยะกลางและระยะยาว
มาตรการดังกล่าวจึงมิได้มุ่งหวังเพียงความอยู่รอดและการลดภาระทางการเงินในระยะสั้น แต่มุ่งเป้าไปอยู่ที่การยกระดับและปรับโฉม SME ในระยะกลางและระยะยาวเพื่อเปิดโอกาสให้ SME วางแผนปรับระบบการจัดการ ทีมงาน และกลยุทธ์การเข้าสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วต้องใช้เวลา เงินลงทุน และทรัพยากรอื่นที่ยาวนานกว่า
ทั้งนี้ มาตรการที่มุ่งเป้าเพื่อการลดต้นทุนทางการเงินดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกบังคับให้ “ใส่เสื้อขนาดเดียวกันทั่วประเทศ” บริการทางการเงินดังกล่าวถูกกำหนดแนวทางให้ดำเนินมาตรการจำแนกตามพื้นที่ อุตสาหกรรม และกิจการตามความเหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น มณฑลหูเป่ยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงมากที่สุด ก็ได้รับการจัดสรรวงเงินสินเชื่อ ค่าธรรมเนียมการโอนเงิน และต้นทุนทางการเงินในระดับพิเศษ
ขณะเดียวกัน SME ในมณฑลที่ได้รับผลกระทบรุนแรง อาทิ ฉงชิ่ง กุ้ยโจว และฝูเจี้ยน SME ที่ประสบกับความยากลำบากในการผลิตและการประกอบธุรกิจ ก็สามารถเลื่อนระยะเวลาและลดอัตราการนำส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้
จีนผลักดันมาตรการระยะสั้น กลาง และยาวอะไรออกมาอีกบ้าง ไปติดตามกันต่อในตอนหน้าครับ ...
- จีนประณามรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวหาใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือต่อรอง
- จีนเลิก "แบน" อาหารทะเลญี่ปุ่น จ่อนำเข้าอีกครั้ง
- "คนจีน" ไม่กล้าใช้จ่าย 80 % หันออมเงิน แม้ดอกเบี้ยต่ำ
- ธุรกิจเลิกกิจการเฉียด 4,000 ราย จัดตั้งใหม่เกิน 30,000 ราย ช่วง 4 เดือนแรก ปี 2568
- เมื่อจีนใช้มังกรน้อย พลิกฟื้นชนบท (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
- เจนซี "จีน" เป็นฮีโร่ไม่รู้ตัว ใช้จ่ายตามอารมณ์ = ช่วยชาติ ?
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand