โลกร้อนคุกคามผลผลิตทั่วโลก อาหารบางชนิดอาจหายไปตลอดกาล

เริ่มจาก มะเขือเทศ งานวิจัยระบุว่าผลผลิตมะเขือเทศจะลดลง 6% ในพื้นที่ปลูกสำคัญๆ เช่น อิตาลี จีน และแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ภายในกลางศตวรรษ อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับมะเขือเทศคือระหว่าง 22-28°C เมื่ออุณหภูมิที่สูงกว่า 35°C ผลผลิตจะลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน มะเขือเทศ 65% ปลูกในแคลิฟอร์เนีย อิตาลี และจีน แต่อุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์และสภาวะแห้งแล้งทำให้ผลผลิตน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงหลังปี 2021 ถึง 10% 

ตามมาด้วย ซอสพริก เพราะปัญหาการขาดแคลนพริกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยพริกเม็กซิกันหรือพริกจาลาปิโนขาดแคลน เนื่องจากแหล่งปลูกสำคัญคือเม็กซิโก ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนักในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา

ตามมาด้วย ช็อกโกแลต  2 ประเทศคือ ไอวอรี่โคสต์และกาน่า เป็นผู้ผลิตโกโก้อันดับต้นๆ ของโลก พื้นที่ป่ามากกว่า 85% ได้สูญหายไปนับตั้งแต่ปี 1960 และยังเจอกับวิกฤตสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหานี้ ภายในปี 2050 ช็อกโกแลตอาจจะลดลง เนื่องจากเหล่าต้นโกโก้นั้นไม่สามารถเติบโตได้ภายในอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน

ต่อด้วย กาแฟ หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมของโลกก็กำลังถูกคุกคามเช่นกัน จากการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่ามี60 % ของสายพันธุ์กาแฟเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ 1 ในนั้นรวมถึงกาแฟอาราบิก้า ซึ่งเป็นหนึ่งในสองสายพันธุ์หลักที่ปลูกและบริโภคทั่วโลก (ควบคู่ไปกับโรบัสต้า) โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกาแฟอาราบิก้าคือ 18-22°C  แต่ทุกภูมิภาคกลับต้องเผชิญกับความร้อนมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมี ไวน์ ที่เสี่ยงด้วยเช่นกัน เครื่องดื่มยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งของโลก สภาพอากาศสุดขั้วส่งผลให้การผลิตไวน์ทั่วโลกลดลง โดยลดลง 7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา ชิลี แอฟริกาใต้ และบราซิล ลดการผลิตลง 10-30% ในขณะที่อิตาลีลดลง 12% ส่งผลให้สูญเสียตำแหน่งในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกให้กับฝรั่งเศสไปแล้ว 

นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบอีกมากมายที่ลดลงจากวิกฤตอากาศ ทั้งมันฝรั่ง ข้าวโพด บลูเบอร์รี่ มะนาว ส้ม ลูกพีช เนื้อสัตว์และอาหารทะเล และชีส ก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน

ก็จะเห็นว่าผลกระทบจากภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ จากข้อมูลต่างๆเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าอุณหภูมิโลกของเรายังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ว่า อาหารการกินที่เราคุ้นชินกัน อาจลดลงหรือหายไปในอนาคต