ออสเตรเลียกำลังเปลี่ยนไป ฝนถล่ม-ภัยแล้งเกิดขึ้นพร้อมกัน ความสุดขั้วที่สะท้อนภัยโลกรวน

ออสเตรเลียกำลังเปลี่ยนไป ฝนถล่ม-ภัยแล้งเกิดขึ้นพร้อมกัน  ความสุดขั้วที่สะท้อนภัยโลกรวน

ในขณะที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียกำลังเผชิญฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ชาวเมืองยูโรอาและไวโอเลตทาวน์ในรัฐวิกตอเรียทางตอนใต้กำลังเตรียมเข้าสู่มาตรการจำกัดการใช้น้ำขั้นที่ 2 เนื่องจากภาวะแห้งแล้ง ทั้งสองสถานการณ์สุดขั้วสะท้อนภาพรวมของความแปรปรวนของสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น และล้วนมีสาเหตุมาจากวิกฤตภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในศตวรรษนี้

ระบบความกดอากาศสูงที่หยุดนิ่งอยู่บริเวณทะเลแทสมันกำลังผลักอากาศชื้นจากมหาสมุทรเข้าปกคลุมพื้นที่ชายฝั่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยมีระบบความกดอากาศต่ำช่วยยกตัวมวลอากาศชื้นขึ้น ทำให้เกิดการก่อตัวของเมฆและฝนตกต่อเนื่อง รูปแบบสภาพอากาศเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับภูมิภาคนี้ แต่สิ่งที่ผิดปกติคือระยะเวลาที่ระบบหยุดนิ่งอยู่นานถึง 4 วัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึงสองเท่า ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องลงสู่พื้นดินที่อิ่มน้ำอยู่แล้ว ทำให้ความเสี่ยงของน้ำท่วมเพิ่มสูงขึ้น แถมยังมีแนวโน้มที่ฝนจากแนวพายุฝั่งตะวันตกจะเคลื่อนเข้าสู่รัฐนิวเซาท์เวลส์ในวันจันทร์นี้ด้วย

แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าสภาพอากาศประเภทนี้จะมีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้นหรือไม่ในอนาคต เนื่องจากข้อจำกัดด้านการประมวลผลของแบบจำลองภูมิอากาศ แต่ข้อมูลจากงานวิจัยและการพัฒนาแบบจำลองความละเอียดสูงกำลังเปิดเผยความเชื่อมโยงที่ชัดเจนขึ้นระหว่างสภาพอากาศและภาวะโลกร้อน

สรุปข่าว

เมื่อฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียจมอยู่ใต้น้ำ ขณะที่อีกซีกหนึ่งแห้งแล้งจนต้องจำกัดการใช้น้ำ ภาพความสุดขั้วของสภาพอากาศในประเทศเดียวกันสะท้อนคำถามสำคัญว่า โลกที่กำลังร้อนขึ้น กำลังเปลี่ยนวิถีของสภาพอากาศไปแล้วจริงหรือไม่? และออสเตรเลียจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเร่งตัวนี้อย่างไร?

ในขณะที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียกำลังเผชิญฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ชาวเมืองยูโรอาและไวโอเลตทาวน์ในรัฐวิกตอเรียทางตอนใต้กำลังเตรียมเข้าสู่มาตรการจำกัดการใช้น้ำขั้นที่ 2 เนื่องจากภาวะแห้งแล้ง ทั้งสองสถานการณ์สุดขั้วสะท้อนภาพรวมของความแปรปรวนของสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น และล้วนมีสาเหตุมาจากวิกฤตภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในศตวรรษนี้

ระบบความกดอากาศสูงที่หยุดนิ่งอยู่บริเวณทะเลแทสมันกำลังผลักอากาศชื้นจากมหาสมุทรเข้าปกคลุมพื้นที่ชายฝั่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยมีระบบความกดอากาศต่ำช่วยยกตัวมวลอากาศชื้นขึ้น ทำให้เกิดการก่อตัวของเมฆและฝนตกต่อเนื่อง รูปแบบสภาพอากาศเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับภูมิภาคนี้ แต่สิ่งที่ผิดปกติคือระยะเวลาที่ระบบหยุดนิ่งอยู่นานถึง 4 วัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึงสองเท่า ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องลงสู่พื้นดินที่อิ่มน้ำอยู่แล้ว ทำให้ความเสี่ยงของน้ำท่วมเพิ่มสูงขึ้น แถมยังมีแนวโน้มที่ฝนจากแนวพายุฝั่งตะวันตกจะเคลื่อนเข้าสู่รัฐนิวเซาท์เวลส์ในวันจันทร์นี้ด้วย

แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าสภาพอากาศประเภทนี้จะมีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้นหรือไม่ในอนาคต เนื่องจากข้อจำกัดด้านการประมวลผลของแบบจำลองภูมิอากาศ แต่ข้อมูลจากงานวิจัยและการพัฒนาแบบจำลองความละเอียดสูงกำลังเปิดเผยความเชื่อมโยงที่ชัดเจนขึ้นระหว่างสภาพอากาศและภาวะโลกร้อน

งานวิจัยล่าสุดพบว่า ความชื้นในบรรยากาศที่ปกคลุมบริเวณซิดนีย์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของฝนตกหนัก อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 80% ภายในช่วงปี 2080–2100 หากโลกร้อนขึ้นตามระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า เมื่อเกิดพายุหรือระบบความกดอากาศต่ำขึ้นในอนาคต ก็จะมี “วัตถุดิบ” ชั้นดีสำหรับฝนตกหนักมากกว่าที่เคย

ขณะที่ฝั่งตะวันออกกำลังวางกระสอบทราย ป้องกันน้ำท่วม ฝั่งตะวันตกและตอนใต้ของออสเตรเลียกลับต้องรับมือกับภัยแล้งที่ยืดเยื้อ เมืองแอดิเลดต้องเร่งเดินเครื่องโรงผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลเพื่อเสริมแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ

รัฐเซาท์ออสเตรเลีย วิกตอเรีย แทสมาเนีย และเวสเทิร์นออสเตรเลีย ล้วนประสบกับปริมาณน้ำฝนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมากในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง โดยภัยแล้งในออสเตรเลียส่วนใหญ่เกิดจากการขาด “ฝนตกหนัก” เพียงไม่กี่วันต่อปี และเพียงไม่กี่วันที่ขาดไป ก็สามารถเปลี่ยนจากปีปกติเป็นปีที่แล้งจัดได้ นอกจากนี้ รูปแบบภูมิอากาศจากมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ซึ่งมีอิทธิพลต่อปริมาณน้ำฝนของออสเตรเลีย ยังอยู่ในสถานะเป็นกลางมาตั้งแต่กลางปี 2024 โดยไม่มีสัญญาณชัดเจนของทั้งเอลนีโญหรือลานีญา ทำให้สภาพอากาศในหลายพื้นที่ไม่มีตัวเร่งให้ฝนตกหนักหรือกระจายตัวได้อย่างทั่วถึง

บทเรียนจากน้ำท่วมและภัยแล้งในปี 2025 ตอกย้ำข้อเท็จจริงว่า ภัยจากภาวะโลกร้อนได้ปรากฏชัดบนแผ่นดินออสเตรเลียผ่านพฤติกรรมของฝนที่รุนแรงและภัยแล้งที่ยาวนาน หากยังคงมีการเผาไหม้หรือส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไปโดยไร้มาตรการจำกัดที่จริงจัง ความเสี่ยงจากสภาพอากาศสุดขั้วเช่นนี้จะยิ่งถี่ขึ้นและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม คำถามสำคัญที่ออสเตรเลียต้องตอบคือ จะยังยอมให้น้ำท่วมและภัยแล้งกลายเป็น “เรื่องปกติใหม่” หรือจะใช้โอกาสนี้เร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานสะอาดที่ยั่งยืน พร้อมวางแผนรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนนี้



ที่มาข้อมูล : The University of Melbourne

ที่มารูปภาพ : Reuters