
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเตือนภัยเกี่ยวกับ ฝนตกหนัก น้ำท่วม และพายุ ปัจจัยเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องเผชิญในปีนี้
ปีนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ฝนตกหนักเกือบ 80% ของพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงภูมิภาคทางภาคเหนือ ภาคกลาง และบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากฝนตกหนักถึงหนักมาก กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกคำเตือนเร่งด่วนถึงความเสี่ยงของน้ำท่วมฉับพลันและอันตรายจากน้ำท่วม ซึ่งมีผลไปจนถึงวันที่ 27 พ.ค. โดยมีเพียงสามจังหวัดทางภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่รอดพ้นจากสภาพอากาศเลวร้ายนี้
สรุปข่าว
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเตือนภัยเกี่ยวกับ ฝนตกหนัก น้ำท่วม และพายุ ปัจจัยเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องเผชิญในปีนี้
ปีนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ฝนตกหนักเกือบ 80% ของพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงภูมิภาคทางภาคเหนือ ภาคกลาง และบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากฝนตกหนักถึงหนักมาก กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกคำเตือนเร่งด่วนถึงความเสี่ยงของน้ำท่วมฉับพลันและอันตรายจากน้ำท่วม ซึ่งมีผลไปจนถึงวันที่ 27 พ.ค. โดยมีเพียงสามจังหวัดทางภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่รอดพ้นจากสภาพอากาศเลวร้ายนี้
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝนตกหนักในช่วงนี้ เกิดจากหลายปัจจัยทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศของไทย โดยเริ่มจากการเข้าสู่ฤดูฝนตามปกติ ซึ่งปัจจัยหลักคือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดพาความชื้นจากมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่ประเทศไทย เมื่อความชื้นจากทะเลพัดเข้ามาและเจอกับสภาพภูมิอากาศของประเทศ จะเกิดการควบแน่นของไอน้ำจนกลายเป็นฝนตกหนัก นอกจากนี้ยังมี ร่องมรสุม หรือ ร่องความกดอากาศต่ำ ซึ่งมีลักษณะพาดผ่านประเทศในแนวตะวันออก-ตะวันตก บริเวณที่ร่องมรสุมเคลื่อนผ่านจะเกิดฝนตกอย่างหนาแน่น โดยปกติร่องมรสุมจะพาดผ่านประเทศไทยตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมและเคลื่อนขึ้นเหนือในช่วงต่อมา ทำให้ฝนตกหนักขึ้น โดยเฉพาะหากมีพายุเคลื่อนเข้ามาทางทะเลจีนใต้ ร่องมรสุมนี้จะทำหน้าที่เป็น "ทางเดิน" ให้พายุเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยได้ง่ายขึ้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยมีฝนชุกต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม
ในส่วนของพายุ ปีนี้ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเดือนตุลาคมถือเป็นเดือนที่มีโอกาสสูงที่สุดที่ศูนย์กลางพายุจะเคลื่อนผ่านประเทศไทย โดยพายุสามารถก่อตัวได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม พายุในเดือนพฤษภาคมมักก่อตัวในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน ส่วนพายุที่ก่อตัวในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายนมักเกิดจากมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาคือสภาพอากาศในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น อินเดียและปากีสถาน ที่กำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรง อุณหภูมิสูงสุดพุ่งแตะถึง 50 องศาเซลเซียส ความร้อนสุดขีดนี้ส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของอากาศในภูมิภาค ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อตัวของพายุในบริเวณอ่าวเบงกอล
กล่าวโดยสรุป ปีนี้ประเทศไทยมีโอกาสเผชิญฝนตกหนักและน้ำท่วมหลายพื้นที่ โดยมีทั้งปัจจัยจากลมมรสุม ร่องมรสุม การก่อตัวของพายุในมหาสมุทรต่างๆ และผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนจัดในภูมิภาคเอเชียใต้ จึงควรเตรียมความพร้อมและติดตามประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้
ที่มาข้อมูล : Sonthi Kotchawat
ที่มารูปภาพ : Reuters