
รายงานสภาพภูมิอากาศโลกประจำปี 2024 โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) เผยให้เห็นปรากฏการณ์คลื่นความร้อนในมหาสมุทร (Marine Heatwave) ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยกินพื้นที่กว้างกว่า 40 ล้านตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นประมาณ 5 เท่าของพื้นที่ประเทศออสเตรเลีย ครอบคลุมพื้นที่มหาสมุทรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก
อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรในพื้นที่ดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวช่วงปี 1991-2020 ประมาณ 0.48 องศาเซลเซียส ขณะเดียวกันระดับน้ำทะเลก็เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 4 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ 3.5 มิลลิเมตรต่อปี ความร้อนในทะเลยังส่งผลให้เกิดความเป็นกรดในน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลอย่างต่อเนื่อง
คลื่นความร้อนทางทะเลในปี 2024 มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดภัยพิบัติด้านสภาพอากาศในหลายพื้นที่ เช่น อุทกภัยและดินถล่มในฟิลิปปินส์ช่วงต้นปีที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก น้ำท่วมใหญ่ในมาเลเซียและสิงคโปร์ที่ส่งผลให้ประชาชนกว่าแสนคนต้องอพยพ รวมถึงฝนตกหนักผิดฤดูกาลในภาคเหนือของออสเตรเลียและพื้นที่เกาะสุมาตรา
สรุปข่าว
รายงานสภาพภูมิอากาศโลกประจำปี 2024 โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) เผยให้เห็นปรากฏการณ์คลื่นความร้อนในมหาสมุทร (Marine Heatwave) ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยกินพื้นที่กว้างกว่า 40 ล้านตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นประมาณ 5 เท่าของพื้นที่ประเทศออสเตรเลีย ครอบคลุมพื้นที่มหาสมุทรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก
อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรในพื้นที่ดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวช่วงปี 1991-2020 ประมาณ 0.48 องศาเซลเซียส ขณะเดียวกันระดับน้ำทะเลก็เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 4 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ 3.5 มิลลิเมตรต่อปี ความร้อนในทะเลยังส่งผลให้เกิดความเป็นกรดในน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลอย่างต่อเนื่อง
คลื่นความร้อนทางทะเลในปี 2024 มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดภัยพิบัติด้านสภาพอากาศในหลายพื้นที่ เช่น อุทกภัยและดินถล่มในฟิลิปปินส์ช่วงต้นปีที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก น้ำท่วมใหญ่ในมาเลเซียและสิงคโปร์ที่ส่งผลให้ประชาชนกว่าแสนคนต้องอพยพ รวมถึงฝนตกหนักผิดฤดูกาลในภาคเหนือของออสเตรเลียและพื้นที่เกาะสุมาตรา
ในพื้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ยังพบการเร่งตัวของการสูญเสียธารน้ำแข็งบนเกาะนิวกินีตะวันตก ซึ่งจากแนวโน้มปัจจุบันคาดว่าอาจสูญหายทั้งหมดภายในปี 2026 หรือไม่นานหลังจากนั้น อีกทั้งพายุหมุนเขตร้อนที่เกิดในฟิลิปปินส์มีจำนวนมากเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ยระยะยาว ส่งผลเสียต่อโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจในวงกว้าง
ผลกระทบจากความร้อนในทะเลยังแสดงออกชัดเจนในด้านระบบนิเวศ เช่น ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ในแนวปะการัง Great Barrier Reef ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2016 โดยความร้อนสะสมในมหาสมุทรทำให้สิ่งมีชีวิตทะเลจำนวนมากอยู่ในภาวะความเครียด บางชนิดต้องย้ายถิ่นฐาน ขณะที่บางส่วนไม่สามารถอยู่รอดได้
คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต หากไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและควบคุมภาวะโลกร้อนได้ทันท่วงที สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชีวิตผู้คน
- พยากรณ์อากาศ 7 วัน ทั่วไทยยังคงมีฝนตกหนัก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก
- เตรียมปิดตำนาน “ประตูสู่นรก” เติร์กเมนิสถานดับหลุมไฟลดการปล่อยก๊าซมีเทน
- วิกฤตโลกร้อน เปลี่ยนธารน้ำแข็งเป็นภัยพิบัติ โลกพร้อมรับมือหรือยัง?
- เราจะใช้ชีวิตกันอย่างไร หากขยะพลาสติกล้นโลก?
- เตรียมรับมือฝนระลอกใหม่ 7-12 มิ.ย.ฝนเพิ่มขึ้นทั่วไทย เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก
- พยากรณ์อากาศ 7 วัน มรสุมแรงขึ้น-ร่องฝนพาดผ่าน เตือน 7-13 มิ.ย.ตะวันออก-ใต้ระวังฝนหนัก
- “อิรัก” แล้งรุนแรง น้ำสำรองต่ำสุดใน 80 ปี บีบเกษตรกรทิ้งพื้นที่เพาะปลูก
