โลกจมขยะพลาสติก ยุโรปเอาจริง แต่ไทยยังเทรวมเป็นภูเขาขยะ

โลกจมขยะพลาสติก  ยุโรปเอาจริง  แต่ไทยยังเทรวมเป็นภูเขาขยะ

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ กลยุทธ์การจัดการขยะพลาสติก โดยพิจารณามุมมองจากต่างประเทศและประเทศไทย


โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) รายงานว่า โลกผลิตพลาสติกมากกว่า 400 ล้านตันต่อปี โดยกว่าครึ่งเป็นพลาสติกใช้ครั้งเดียว และมีเพียงไม่ถึง 10% ที่ถูกนำไปรีไซเคิล ที่เหลือจำนวนมากถูกทิ้งจนกลายเป็นปัญหาขยะ โดยเฉพาะในทะเลและแหล่งน้ำ ซึ่งในแต่ละปีมีขยะพลาสติกกว่า 11 ล้านตัน ไหลลงสู่ทะเลสาบ แม่น้ำ และมหาสมุทร คิดเป็นน้ำหนักเทียบเท่าหอไอเฟลกว่า 2,200 หอ นอกจากนี้ยังเกิดปัญหา ไมโครพลาสติก (อนุภาคพลาสติกเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร) ที่ปนเปื้อนในอาหาร น้ำ และอากาศ จนมนุษย์บริโภคไปมากกว่า 50,000 อนุภาคต่อปี และอาจมากกว่านี้หากรวมการสูดดมเข้าไป

สรุปข่าว

“ดร.สนธิ” เผยทั่วโลกผลิตพลาสติกกว่า 400 ล้านตันต่อปี แต่รีไซเคิลได้ไม่ถึง 10% ทำให้ขยะจำนวนมหาศาลไหลลงทะเลและกลายเป็นไมโครพลาสติกที่มนุษย์รับเข้าสู่ร่างกายทุกปี ซึ่งถ้าดูในต่างประเทศ เช่น เยอรมนีและยุโรป ใช้มาตรการเข้มทั้งระบบมัดจำบรรจุภัณฑ์และเก็บภาษีถุงพลาสติก เพื่อกระตุ้นการใช้ซ้ำและลดการใช้พลาสติกใหม่ ขณะที่ “ประเทศไทย” ยังขาดแรงจูงใจที่เป็นรูปธรรม จึงจำเป็นต้องพัฒนานโยบายที่สร้างแรงกดดันและทางเลือกที่ยั่งยืนมากกว่าการขอความร่วมมือเพียงอย่างเดียว

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ กลยุทธ์การจัดการขยะพลาสติก โดยพิจารณามุมมองจากต่างประเทศและประเทศไทย


โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) รายงานว่า โลกผลิตพลาสติกมากกว่า 400 ล้านตันต่อปี โดยกว่าครึ่งเป็นพลาสติกใช้ครั้งเดียว และมีเพียงไม่ถึง 10% ที่ถูกนำไปรีไซเคิล ที่เหลือจำนวนมากถูกทิ้งจนกลายเป็นปัญหาขยะ โดยเฉพาะในทะเลและแหล่งน้ำ ซึ่งในแต่ละปีมีขยะพลาสติกกว่า 11 ล้านตัน ไหลลงสู่ทะเลสาบ แม่น้ำ และมหาสมุทร คิดเป็นน้ำหนักเทียบเท่าหอไอเฟลกว่า 2,200 หอ นอกจากนี้ยังเกิดปัญหา ไมโครพลาสติก (อนุภาคพลาสติกเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร) ที่ปนเปื้อนในอาหาร น้ำ และอากาศ จนมนุษย์บริโภคไปมากกว่า 50,000 อนุภาคต่อปี และอาจมากกว่านี้หากรวมการสูดดมเข้าไป

ตัวอย่างแนวทางจากต่างประเทศ

  • เยอรมนี ใช้นโยบาย “เงินมัดจำบรรจุภัณฑ์” (Deposit System) โดยคิดค่ามัดจำกระป๋องและขวดพลาสติกตั้งแต่ 0.25 ยูโรต่อชิ้น หากผู้บริโภคต้องการเงินคืน ต้องนำบรรจุภัณฑ์เปล่ามาส่งคืนที่เครื่องรับอัตโนมัติ (Reverse Vending Machine) จากนั้นบรรจุภัณฑ์จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิล
  • ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ เก็บภาษีถุงพลาสติกจากร้านค้า เพื่อผลักภาระไปยังผู้บริโภคโดยตรง ถุงที่จำหน่ายต้องเป็นชนิดย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ราคาอาจสูงถึง 7–21 บาทต่อถุง ทำให้ผู้คนหันมาใช้ถุงผ้าหรือพกถุงพลาสติกใช้ซ้ำแทน


แม้ประเทศไทยมีการรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันแยกขยะ แต่ยัง ขาดแรงจูงใจที่เป็นรูปธรรม ประชาชนจำนวนมากยังไม่เห็นคุณค่าของการแยกตั้งแต่ต้นทาง ทำให้สุดท้ายต้องเสียเวลาและงบประมาณจำนวนมากไปกับการจัดการปลายทาง หรือกลายเป็นการทิ้งปะปนจนกองสะสมเป็น “ภูเขาขยะ” เหมือนที่ผ่านมา

การจะก้าวไปข้างหน้า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกลไกที่ สร้างแรงจูงใจจริง เช่น ระบบค่ามัดจำบรรจุภัณฑ์ การเก็บภาษีถุงพลาสติก หรือการสนับสนุนการใช้วัสดุทดแทนอย่างจริงจัง มากกว่าการพึ่งพาความร่วมมือเพียงอย่างเดียว

ที่มาข้อมูล : Sonthi Kotchawat

ที่มารูปภาพ : Reuters