
รายงานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา พบว่า ภาวะโลกร้อนและแรงกดดันจากกิจกรรมของมนุษย์ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลอุ่น ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และน้ำทะเลเป็นกรด นอกจากนี้ปริมาณสัตว์น้ำในทะเลยังลดลงอย่างรวดเร็วจากการทำประมงเกินพิกัดและไร้การควบคุม ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังผลักดันมหาสมุทรไปสู่จุดเสี่ยงอันตราย โดยคาดว่าผลกระทบจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในปี 2050 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า
เบน ฮาลเพิร์น นักนิเวศวิทยาทางทะเลและผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์และสังเคราะห์เชิงนิเวศวิทยาแห่งชาติ ระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจคืออัตราความเร็วของผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมากเกินที่คาดการณ์ไว้
สรุปข่าว
รายงานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา พบว่า ภาวะโลกร้อนและแรงกดดันจากกิจกรรมของมนุษย์ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลอุ่น ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และน้ำทะเลเป็นกรด นอกจากนี้ปริมาณสัตว์น้ำในทะเลยังลดลงอย่างรวดเร็วจากการทำประมงเกินพิกัดและไร้การควบคุม ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังผลักดันมหาสมุทรไปสู่จุดเสี่ยงอันตราย โดยคาดว่าผลกระทบจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในปี 2050 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า
เบน ฮาลเพิร์น นักนิเวศวิทยาทางทะเลและผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์และสังเคราะห์เชิงนิเวศวิทยาแห่งชาติ ระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจคืออัตราความเร็วของผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมากเกินที่คาดการณ์ไว้
ก่อนหน้านี้ทีมวิจัยได้ศึกษาและประเมินผลกระทบจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่มีต่อมหาสมุทร ซึ่งงานวิจัยมีการติดตามปัญหาเพียงด้านเดียว เนื่องจากความเชื่อว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่มหาศาล ผลกระทบที่เกิดขึ้นในบางส่วนของพื้นที่อาจไม่ส่งผลรุนแรงมากนัก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science จำนวน 17 ฉบับ ที่มีการตรวจสอบขอบเขตกิจกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรทั่วโลกและพบว่าแทบไม่มีพื้นที่ใดในโลกที่ไม่ถูกรบกวนโดยมนุษย์ และกว่าร้อยละ 41 ของสิ่งแวดล้อมทางทะเลได้รับผลกระทบอย่างหนัก
อุณหภูมิในมหาสมุทรที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการลดลงของจำนวนประชากรสัตว์น้ำเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดผลกระทบสะสม โดยพื้นที่เขตร้อนและบริเวณขั้วโลกนั้นเผชิญกับอัตราการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีแนวโน้มที่อาจเกินความสามารถในการปรับตัวของระบบนิเวศในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและอาจนำไปสู่การล่มสลายของมหาสมุทรในอนาคตได้
นอกจากนี้ บริเวณชายฝั่งทั่วโลกซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น ยังเป็นพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากมนุษย์ต้องพึ่งพามหาสมุทรในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านอาหาร และการดำรงชีวิต จึงทำให้บริเวณชายฝั่งกลายเป็นพื้นที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม แม้จะนักวิทยาศาสตร์จะมีความหวังในการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่หากไม่เริ่มต้นจัดการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ในอนาคตอาจสายเกินไปที่จะฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก
- ก๊าซเรือนกระจกคืออะไร? เปิดต้นตอตัวการทำโลกร้อน
- สิ้นสุดตำนาน “A23a” ภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก แตกสลายแล้ว หลังลอยอยู่ 40 ปี
- โลกร้อนเผาเลมอนตุรกี ผลผลิตตายยกสวน
- เวียดนามดึงภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างบ้านไม้ไผ่-สตูดิโอก่ออิฐ ต้านภัยธรรมชาติที่แรงขึ้นทุกปี
- ฤดูร้อน “ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้” ปีนี้ ทุบสถิติร้อนสุดในประวัติศาสตร์
ที่มาข้อมูล : ucsb.edu
ที่มารูปภาพ : Sebastian Pena Lambarri
