
เสียงร้องต่ำลึกที่เคยดังก้องข้ามมหาสมุทรของ “วาฬสีน้ำเงิน” สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ กำลังค่อย ๆ จางหายไป จากงานวิจัยระยะเวลา 6 ปี บริเวณชายฝั่งแคลิฟอร์เนียเผยว่า ความร้อนจัดในมหาสมุทร (Marine Heatwaves) และ มลพิษทางเสียงใต้น้ำ กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเสียงของท้องทะเล ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่านี่อาจเป็นสัญญาณอันตรายต่อระบบนิเวศทั้งระบบ
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ใต้น้ำลึก มหาสมุทรไม่เคยเงียบจริง ๆ เพราะเราจะได้ยินตั้งแต่เสียงของสัตว์ทะเล เสียงพายุฝนฟ้าคะนองที่ก่อตัว ไปจนถึงเสียงร้องชวนขนลุกของวาฬ ทั้งหมดรวมกันกลายเป็น “ซิมโฟนีของทะเล” ซึ่งเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้จากการที่นักวิจัยได้ติดตั้ง ไฮโดรโฟน ลึกลงไปกว่า 900 เมตร นอกชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเฝ้าฟังเสียงเหล่านี้ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
สรุปข่าว
เสียงร้องต่ำลึกที่เคยดังก้องข้ามมหาสมุทรของ “วาฬสีน้ำเงิน” สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ กำลังค่อย ๆ จางหายไป จากงานวิจัยระยะเวลา 6 ปี บริเวณชายฝั่งแคลิฟอร์เนียเผยว่า ความร้อนจัดในมหาสมุทร (Marine Heatwaves) และ มลพิษทางเสียงใต้น้ำ กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเสียงของท้องทะเล ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่านี่อาจเป็นสัญญาณอันตรายต่อระบบนิเวศทั้งระบบ
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ใต้น้ำลึก มหาสมุทรไม่เคยเงียบจริง ๆ เพราะเราจะได้ยินตั้งแต่เสียงของสัตว์ทะเล เสียงพายุฝนฟ้าคะนองที่ก่อตัว ไปจนถึงเสียงร้องชวนขนลุกของวาฬ ทั้งหมดรวมกันกลายเป็น “ซิมโฟนีของทะเล” ซึ่งเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้จากการที่นักวิจัยได้ติดตั้ง ไฮโดรโฟน ลึกลงไปกว่า 900 เมตร นอกชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเฝ้าฟังเสียงเหล่านี้ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
เมื่อทีมวิจัยนำโดย “จอห์น ไรอัน” นักสมุทรศาสตร์ชีวภาพ จากสถาบันวิจัย Monterey Bay Aquarium เริ่มเก็บข้อมูลในปี พ.ศ. 2558 พวกเขาไม่รู้เลยว่า “คลื่นความร้อนในทะเล” ครั้งใหญ่กำลังจะเปลี่ยนระบบนิเวศทั้งหมด เพราะความร้อนดังกล่าว เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ในทะเลแบริ่ง ก่อนขยายตัวลงมาตามชายฝั่งแปซิฟิกตั้งแต่อลาสก้าถึงเม็กซิโกภายในไม่กี่ปี จนถึง พ.ศ. 2559 อุณหภูมิทะเลบางพื้นที่สูงขึ้นมากกว่า 15°C จากปกติ ส่งผลให้กระแสน้ำและแหล่งอาหารเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
สำหรับวาฬสีน้ำเงินและวาฬฟิน ที่ต้องพึ่งพาฝูงคริลล์หนาแน่นเพื่อความอยู่รอด นี่คือหายนะโดยตรง เพราะปริมาณคริลล์ลดลงฮวบ และยากต่อการหา ส่งผลให้ เสียงร้องของวาฬสีน้ำเงินลดลงกว่า 40% ในช่วงปีที่เผชิญกับคลื่นความร้อน “เมื่อวาฬใช้พลังงานเกือบทั้งหมดในการหาอาหาร พวกมันแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับการร้องเพลง นั่นสะท้อนว่าพวกมันกำลังอยู่ในภาวะเครียดอย่างหนัก” ไรอันกล่าว
งานวิจัยในนิวซีแลนด์ช่วง พ.ศ. 2559–2561 ก็พบปรากฏการณ์เดียวกัน วาฬสีน้ำเงินออกเสียงร้องที่เกี่ยวข้องกับการหาอาหารลดลง และเสียงร้องที่เชื่อมโยงกับการผสมพันธุ์ก็น้อยลงในปีถัดมา เพราะเมื่ออาหารขาดแคลน วาฬก็จะลงทุนในการสืบพันธุ์น้อยลงด้วย ซึ่งวาฬสีน้ำเงินถือเป็น “ดัชนีชีวภาพของมหาสมุทร” เพราะพฤติกรรมของพวกมันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในวงกว้าง
และนับตั้งแต่ทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา ความถี่และระยะเวลาของคลื่นความร้อนในมหาสมุทรนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางครั้งอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 5°C และส่งผลกระทบตั้งแต่แพลงก์ตอนจนถึงสัตว์นักล่าชั้นสูง เพราะหากสัตว์ที่สามารถอพยพได้ไกลหลายพันกิโลเมตรอย่างวาฬสีน้ำเงินยังไม่สามารถหาอาหารได้ นั่นสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของมหาสมุทรแล้ว
ดังนั้นจะเห็นว่า “เสียง” คือหนึ่งในเครื่องมือไม่กี่อย่างที่นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของมหาสมุทรในวงกว้างได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องรู้ก่อนว่ามหาสมุทร “ที่ยังสมบูรณ์” ควรมีเสียงแบบใด
การล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 เลยกลายเป็นการทดลองโดยบังเอิญ เมื่อการขนส่งทางเรือลดลง เสียงใต้น้ำก็น้อยลงตาม ส่งผลให้สัตว์ทะเลหลายชนิดกลับเข้ามาในพื้นที่ที่เคยถูกรบกวนจากมนุษย์ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถออกแบบมาตรการเพื่อลดมลพิษทางเสียง คุ้มครองพื้นที่หากินหรือผสมพันธุ์สำคัญ และรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมได้อย่างทันท่วงที
สำหรับตอนนี้ เสียงของวาฬสีน้ำเงินกำลังเงียบลง และนี่คือสัญญาณขอความช่วยเหลือที่มนุษยชาติไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะอนาคตของพวกมันผูกพันโดยตรงกับสุขภาพของมหาสมุทรที่เราทุกคนกำลังพึ่งพาอยู่
- มหาสมุทรกำลังมืดลง ภัยเงียบจากภาวะโลกร้อน และโลกใต้น้ำอาจเปลี่ยนไปตลอดกาล
- สรุปผลประชุมมหาสมุทรโลก เร่งอนุรักษ์ทะเล ยุติเหมืองลึก และผลักดันสนธิสัญญาพลาสติก
- มหาสมุทรร้อนจัดครั้งใหญ่ กระทบเอเชียแปซิฟิกมากที่สุด
- รู้หรือไม่ ? วาฬสีน้ำเงินเป็นสัตว์ร้องดังที่สุดในโลก
- พิษเอลนีโญสภาพอากาศเปลี่ยนกระทบ ‘วาฬสีน้ำเงิน’ ส่งผลเสียระบบนิเวศ
