ชาวออสเตรเลียนับล้านเสี่ยง เจอน้ำทะเลหนุนกลืนเมืองชายฝั่ง หากโลกร้อนเกิน 3 องศาฯ

ชาวออสเตรเลียนับล้านเสี่ยง  เจอน้ำทะเลหนุนกลืนเมืองชายฝั่ง  หากโลกร้อนเกิน 3 องศาฯ

รายงานประเมินความเสี่ยงด้านภูมิอากาศแห่งชาติของออสเตรเลีย ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568 เตือนว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกพุ่งเกิน 3 องศาเซลเซียส จำนวนผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนในนครซิดนีย์อาจเพิ่มขึ้นเกือบ 450% ขณะที่พื้นที่ชายฝั่งซึ่งมีประชากรหนาแน่นจะเผชิญความเสี่ยงสูงจาก น้ำทะเลหนุน การกัดเซาะชายฝั่ง และน้ำท่วมฉับพลัน โดยไม่มีชุมชนใดรอดพ้นจากผลกระทบที่รุนแรงและเกิดพร้อมกันในหลายด้าน

รายงานระบุว่า ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) จะมีชาวออสเตรเลียกว่า 1.5 ล้านคนที่อาศัยตามแนวชายฝั่งตกอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และตัวเลขนี้อาจเพิ่มเป็น มากกว่า 3 ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2633 (ค.ศ. 2090)

รายงานดังกล่าวจัดทำโดย Australian Climate Service ร่วมกับ กระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของออสเตรเลีย โดยเป็นการประเมินความเสี่ยงระดับประเทศครั้งแรก ซึ่งได้จำลองผลกระทบของภัยพิบัติด้านภูมิอากาศ เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง และน้ำท่วม ต่อชุมชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้ 3 สถานการณ์ภาวะโลกร้อน คือ สูงกว่า 1.5°C, สูงกว่า 2°C และสูงกว่า 3°C ทั้งนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของทวีปออสเตรเลียในปัจจุบันได้ เพิ่มขึ้นแล้วราว 1.5°C เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม

สรุปข่าว

รายงานประเมินความเสี่ยงด้านภูมิอากาศแห่งชาติฉบับแรกของออสเตรเลียเตือน หากโลกร้อนขึ้นเกิน 3 องศาเซลเซียส ยอดผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนในซิดนีย์อาจพุ่งกว่า 450% ขณะเดียวกัน ประชาชนที่อาศัยตามชายฝั่งนับล้านเสี่ยงเจอปัญหาน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น และท่วมถาวรภายในสิ้นศตวรรษนี้

รายงานประเมินความเสี่ยงด้านภูมิอากาศแห่งชาติของออสเตรเลีย ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568 เตือนว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกพุ่งเกิน 3 องศาเซลเซียส จำนวนผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนในนครซิดนีย์อาจเพิ่มขึ้นเกือบ 450% ขณะที่พื้นที่ชายฝั่งซึ่งมีประชากรหนาแน่นจะเผชิญความเสี่ยงสูงจาก น้ำทะเลหนุน การกัดเซาะชายฝั่ง และน้ำท่วมฉับพลัน โดยไม่มีชุมชนใดรอดพ้นจากผลกระทบที่รุนแรงและเกิดพร้อมกันในหลายด้าน

รายงานระบุว่า ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) จะมีชาวออสเตรเลียกว่า 1.5 ล้านคนที่อาศัยตามแนวชายฝั่งตกอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และตัวเลขนี้อาจเพิ่มเป็น มากกว่า 3 ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2633 (ค.ศ. 2090)

รายงานดังกล่าวจัดทำโดย Australian Climate Service ร่วมกับ กระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของออสเตรเลีย โดยเป็นการประเมินความเสี่ยงระดับประเทศครั้งแรก ซึ่งได้จำลองผลกระทบของภัยพิบัติด้านภูมิอากาศ เช่น คลื่นความร้อน ภัยแล้ง และน้ำท่วม ต่อชุมชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้ 3 สถานการณ์ภาวะโลกร้อน คือ สูงกว่า 1.5°C, สูงกว่า 2°C และสูงกว่า 3°C ทั้งนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของทวีปออสเตรเลียในปัจจุบันได้ เพิ่มขึ้นแล้วราว 1.5°C เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม

รายงานเตือนว่า ความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนจะทวีความรุนแรงขึ้น หากโลกเข้าสู่ภาวะร้อนขึ้น 3°C โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนในซิดนีย์จะเพิ่มขึ้น 444% และในเมืองดาร์วินเพิ่มขึ้น 423% ซึ่งจะสร้างภาระหนักต่อระบบสาธารณสุขอย่างมาก

ในด้านเศรษฐกิจ คาดว่าความเสียหายโดยตรงจากน้ำท่วม ไฟป่า พายุ และไซโคลน อาจสูงถึง ปีละ 40,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 1.1 ล้านล้านบาท ในปี พ.ศ. 2593 แม้จะอยู่ในสถานการณ์โลกร้อน 1.5°C ก็ตาม

นอกจากนี้ยังเตือนว่า มูลค่าทรัพย์สินทั่วประเทศอาจเสียหายกว่า 611,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 17 ล้านล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2593 และอาจเพิ่มเป็น 770,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 21.5 ล้านล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2633 อีกทั้ง จำนวนวันทำงานที่สูญเสียไปเพราะคลื่นความร้อนอาจสูงถึง 2.7 ล้านวัน หากอุณหภูมิพุ่งเกิน 3°C

รัฐบาลออสเตรเลียได้เผยแพร่ กรอบแผนการปรับตัวระดับชาติ (National Adaptation Framework) ควบคู่กับรายงานฉบับนี้ เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมให้ชุมชนทั่วประเทศสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น โดยระบุว่า ทุก ๆ องศาที่สามารถป้องกันไม่ให้โลกร้อนขึ้นในตอนนี้ จะช่วยลดความเสียหายที่คนรุ่นหลังต้องเผชิญได้ในอนาคต

การเผยแพร่รายงานประเมินความเสี่ยงฉบับนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสัปดาห์สำคัญในการกำหนดทิศทางด้านภูมิอากาศของรัฐบาลอัลบานีส โดยภายในสัปดาห์นี้คาดว่ารัฐบาลจะประกาศ เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปี พ.ศ. 2578 (ค.ศ. 2035) และแผนสู่ การปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) พร้อมแนวทางลดการปล่อยก๊าซใน 6 ภาคเศรษฐกิจหลัก

ก่อนหน้านี้ ความล่าช้าในการเปิดเผยรายงานดังกล่าวเคยทำให้ฝ่ายค้านและพรรคกรีนส์กล่าวหารัฐบาลว่าพยายามปกปิดเนื้อหา เนื่องจากมีรายงานภายในระบุว่า เนื้อหามีความ “เข้มข้นและน่าหวั่นวิตก” โดยขณะนี้พรรคกรีนส์ได้ผลักดันให้มีการสอบสวนในรัฐสภาเกี่ยวกับสาเหตุความล่าช้าดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มเปิดการไต่สวนในวันที่ 16 กันยายนนี้

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : Reuters