
นักวิทยาศาสตร์จาก British Antarctic Survey หน่วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ประจำทวีปแอนตาร์กติกา ออกมาเตือนว่า ขณะนี้แอนตาร์กติกากำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและรวดเร็วเกินคาด ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบระดับโลก ทั้งในเรื่องระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และพายุที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการประชุมของนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศชั้นนำที่ราชสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักร (Royal Society) กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นเวทีหารือถึงปัญหาการพังทลายของแผ่นน้ำแข็ง การลดลงอย่างมากของระดับน้ำแข็งในทะเลจนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ตลอดจนพายุที่ทวีความรุนแรง ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจจุดชนวนให้เกิดผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก
สรุปข่าว
นักวิทยาศาสตร์จาก British Antarctic Survey หน่วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ประจำทวีปแอนตาร์กติกา ออกมาเตือนว่า ขณะนี้แอนตาร์กติกากำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและรวดเร็วเกินคาด ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบระดับโลก ทั้งในเรื่องระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และพายุที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการประชุมของนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศชั้นนำที่ราชสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักร (Royal Society) กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นเวทีหารือถึงปัญหาการพังทลายของแผ่นน้ำแข็ง การลดลงอย่างมากของระดับน้ำแข็งในทะเลจนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ตลอดจนพายุที่ทวีความรุนแรง ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจจุดชนวนให้เกิดผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก
ศาสตราจารย์ “ไมเคิล เมเรดิธ” นักสมุทรศาสตร์จาก British Antarctic Survey ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ว่า “สิ่งที่เราเห็นในตอนนี้คือ คลื่นความร้อนที่รุนแรงเกินคาด อุณหภูมิในแอนตาร์กติกาสูงกว่าที่เคยบันทึกไว้ และสูงเกินกว่าที่เราคิดว่าจะได้เห็น ธารน้ำแข็งกำลังละลายด้วยความเร็วที่เมื่อ 20 ปีก่อนเราไม่อาจคาดคิดได้ และตอนนี้เรากำลังเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
นักวิจัยชี้ว่า มหาสมุทรทางตอนใต้ (Southern Ocean) กำลังดูดซับความร้อนส่วนเกินจำนวนมหาศาลจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดการละลายของน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา ตลอดจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการหมุนเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทร และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของสภาพอากาศสุดขั้ว ไม่เพียงแต่ในขั้วโลก แต่ยังแผ่ขยายไปทั่วโลก
ทั้งนี้ หลักฐานล่าสุดยังชี้ว่า การลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2559 เป็นสัญญาณชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงระยะยาวที่ขับเคลื่อนโดยภาวะโลกร้อนจากมนุษย์ และกระบวนการซับซ้อนระหว่างน้ำแข็งกับมหาสมุทรที่ยังคงดำเนินอยู่
การประชุมดังกล่าวยังเตือนถึงภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตสำคัญของระบบนิเวศ เช่น “คริลล์” ซึ่งเป็นอาหารหลักของวาฬและสัตว์ทะเลหลากชนิด รวมถึงสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกอย่างฟองน้ำและปะการัง โดยหากได้รับผลกระทบ จะส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ อุตสาหกรรมประมง และวัฏจักรคาร์บอนของโลกโดยตรง
นักวิทยาศาสตร์ยังอ้างอิงข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ในช่วงที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น การสูญเสียน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาสามารถทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นหลายเมตรภายในเวลาเพียงไม่กี่ศตวรรษ หรือแม้แต่ไม่กี่ทศวรรษ ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อมนุษยชาติ
รายงานการประเมินฉบับหนึ่งยังระบุถึงความเป็นไปได้ของการเกิด “จุดเปลี่ยน” (tipping points) ที่แม้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ แต่หากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากกว่า 10 เมตรภายในปี ค.ศ.2300 (พ.ศ.2843) และจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบป้องกันชายฝั่งของหลายประเทศ รวมถึงสหราชอาณาจักร
ขณะเดียวกัน ในสัปดาห์เดียวกันนี้ ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยปฏิเสธความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมระบุว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” และยังแสดงความสงสัยต่อโครงการด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก ตลอดจนสถาบันพหุภาคีที่ผลักดันการแก้ปัญหาโลกร้อน
- โลกร้อนเขย่าวงการเกษตร ผึ้งหยุดทำงาน-ผลไม้ไม่ติดผล ไทยเสี่ยงภัยพิบัติซ้ำซ้อน
- พายุลูกเห็บเกิดน้อยลง เพราะภาวะโลกร้อน แต่ข่าวร้ายคือขนาดลูกเห็บใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
- โลกร้อนทำคนอ้วนขึ้น การออกกำลังกายกลางแจ้งกลายเป็นเรื่องยาก
- เปิดเส้นทางพายุ “บัวลอย” จ่อขึ้นฝั่งที่เวียดนาม 28-29 ก.ย.
- เปิดสาเหตุ “ไต้หวัน” เสียหายหนัก เพราะประเมินพายุต่ำ แม้ “รากาซา” สลายตัวแต่เมืองยังจมโคลน
