จับตาพายุ “แมตโม” กระทบไทยทางอ้อม ยืนยันสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้จะไม่รุนแรงซ้ำรอยปี 54

จับตาพายุ “แมตโม” กระทบไทยทางอ้อม ยืนยันสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้จะไม่รุนแรงซ้ำรอยปี 54

สทนช. เฝ้าระวัง “แมตโม” กระทบไทยทางอ้อม

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในระยะนี้ประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด 

เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า พายุ “แมตโม” จะส่งผลกระทบทางอ้อมทำให้ในช่วงวันที่ 6-8 ตุลาคมนี้ ประเทศไทยจะมีฝนตกปานกลางถึงหนักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ประกอบกับในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีฝนตกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนที่มีน้ำมาก เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อน โดยทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ เป็น 35 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน 


สรุปข่าว

สทนช. เฝ้าระวังสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด พร้อมจับตาพายุ “แมตโม” กระทบไทยทางอ้อม ยืนยันปีนี้ไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมปี 54 สถานการณ์ในปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 อย่างแน่นอน

สทนช. เฝ้าระวัง “แมตโม” กระทบไทยทางอ้อม

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในระยะนี้ประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด 

เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า พายุ “แมตโม” จะส่งผลกระทบทางอ้อมทำให้ในช่วงวันที่ 6-8 ตุลาคมนี้ ประเทศไทยจะมีฝนตกปานกลางถึงหนักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ประกอบกับในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีฝนตกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนที่มีน้ำมาก เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อน โดยทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ เป็น 35 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน 


ทุกหน่วยงานประเมินผลกระทบจากพายุ “แมตโม” อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่เขื่อนภูมิพล ยังคงการระบายน้ำในอัตรา 5 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ในช่วงเร่งด่วน ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประสานกรมชลประทาน ปรับการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยระบายน้ำรวมอยู่ในห้วง 40 - 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมความพร้อมในพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ หากต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน เนื่องจากในช่วงนี้ปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนมีแนวโน้มลดลง 

กรมชลประทานจึงเตรียมปรับลดการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาจาก 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,400 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งจะช่วยให้ระดับน้ำในพื้นที่ท้ายเขื่อนลดลงประมาณ 20 - 25 เซนติเมตร ในส่วนการเตรียมการบริหารจัดการน้ำช่วงฝนตกหนัก จะดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพเพื่อควบคุมการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำหน้าเขื่อนไม่เกิน +17 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง พร้อมทั้งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อนเพิ่มมากขึ้นในอัตราเหมาะสมที่พื้นที่สามารถรองรับได้ 

โดยได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานประเมินผลกระทบจากพายุ “แมตโม” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ โดย สทนช. จะนำผลจากการประชุมครั้งนี้รายงานต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งจัดขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ 


สถานการณ์ปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนมหาอุทกภัยปี 2554

ทั้งนี้ จากความกังวลของพี่น้องประชาชนว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยกับมหาอุทกภัยในปี 2554 นั้น สทนช. ขอยืนยันว่าสถานการณ์ในปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 อย่างแน่นอน เนื่องจากปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุทั้งโดยตรงและทางอ้อม และอยู่ภายใต้สภาวะลานีญา ทำให้ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าค่าปกติถึงร้อยละ 24 และขณะนั้น 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ รองรับน้ำได้เพียง 324 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ สูงสุด 4,689 ลบ.ม. ต่อวินาที 

ขณะที่การระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุดถึง 3,726 ลบ.ม. ต่อวินาที นำไปสู่อุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ ขณะที่ในปี 2568 แม้จะมีพายุหลายลูก แต่ทั้งหมดส่งผลทางอ้อมและมีทิศทางที่กระทบต่อไทยน้อยกว่า อีกทั้งยังอยู่ภายใต้สภาวะเป็นกลางถึงสภาวะลานีญากำลังอ่อน ทำให้มีฝนโดยรวมไม่มากนัก โดยปัจจุบันปริมาณฝนเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติร้อยละ 7 รวมถึง 4 เขื่อนหลักยังรองรับน้ำได้อีก 2,185 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 ที่ 2,748 ลบ.ม. ต่อวินาที ระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที แม้จะมีแนวโน้มเกิดน้ำหลากเฉพาะพื้นที่จากฝนตกหนัก แต่ทุกหน่วยงานได้บูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด 

ที่มาข้อมูล : สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

ที่มารูปภาพ : AFP