“ฝนระเบิด” ถล่ม “หาดใหญ่” สภาพอากาศสุดขั้วที่พังทั้งเมือง เพราะอากาศวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

Share on Line Share on Facebook Share on X
“ฝนระเบิด” ถล่ม “หาดใหญ่” สภาพอากาศสุดขั้วที่พังทั้งเมือง  เพราะอากาศวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ภาพน้ำที่ไหลทะลักเข้าพื้นที่เมืองหาดใหญ่และจังหวัดภาคใต้ตอนล่างทำให้คนทั้งประเทศตั้งคำถามว่าเหตุใดฝนเพียงไม่กี่วันจึงสร้างความเสียหายหนักขนาดนี้? ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาหลายท่านยืนยันตรงกันว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากฝนตกหนักธรรมดา แต่เกิดจากรูปแบบฝนที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายคนเริ่มรู้จักในชื่อ “ฝนระเบิด” หรือ “Rain Bomb” ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบ่อยในยุคโลกร้อน และหลายประเทศทั่วโลกต่างก็เผชิญปัญหานี้กันบ่อยมากขึ้น จนตั้งตัวไม่ทันไปตาม ๆ กัน แม้แต่ประเทศที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างสหรัฐอเมริกา หรือหลายประเทศในยุโรปที่ขึ้นชื่อเรื่องความแม่นยำของการคาดการณ์สภาพอากาศ ก็ไม่วายเจอเหตุการณ์ “ฝนระเบิด” ด้วยกันทั้งนั้น

สรุปข่าว

ฝนเพียงไม่กี่วัน แต่หาดใหญ่กลับจมอยู่ใต้กระแสน้ำแบบไม่ทันตั้งตัว นี่ไม่ใช่ “น้ำท่วมตามฤดูกาล” อย่างที่คุ้นเคย หากแต่เป็นผลของ “ฝนระเบิด” หรือ “Rain Bomb” ปรากฏการณ์ยุคโลกร้อนที่ทำให้เมฆฝนหยุดนิ่งเทกระหน่ำลงพื้นที่เดิมแบบต่อเนื่อง จนระบบระบายน้ำของเมืองใหญ่รับมือไม่ไหวประกอบกับปัจจัยมรสุม ลานีญา น้ำทะเลหนุน และการขยายตัวของเมืองที่กลืนพื้นที่ดูดซับน้ำ ล้วนหลอมรวมกันจนกลายเป็นวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ปี 2568 นี่เป็นสัญญาณชัดเจนว่าไทยกำลังก้าวเข้าสู่สภาพอากาศสุดขั้วที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และอาจเกิดขึ้นอีกได้ทุกเมื่อ

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ภาพน้ำที่ไหลทะลักเข้าพื้นที่เมืองหาดใหญ่และจังหวัดภาคใต้ตอนล่างทำให้คนทั้งประเทศตั้งคำถามว่าเหตุใดฝนเพียงไม่กี่วันจึงสร้างความเสียหายหนักขนาดนี้? ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาหลายท่านยืนยันตรงกันว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากฝนตกหนักธรรมดา แต่เกิดจากรูปแบบฝนที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายคนเริ่มรู้จักในชื่อ “ฝนระเบิด” หรือ “Rain Bomb” ปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบ่อยในยุคโลกร้อน และหลายประเทศทั่วโลกต่างก็เผชิญปัญหานี้กันบ่อยมากขึ้น จนตั้งตัวไม่ทันไปตาม ๆ กัน แม้แต่ประเทศที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างสหรัฐอเมริกา หรือหลายประเทศในยุโรปที่ขึ้นชื่อเรื่องความแม่นยำของการคาดการณ์สภาพอากาศ ก็ไม่วายเจอเหตุการณ์ “ฝนระเบิด” ด้วยกันทั้งนั้น

“ฝนระเบิด” ต่างจากฝนทั่วไปตรงที่กลุ่มเมฆขนาดใหญ่ไม่ได้เคลื่อนผ่านพื้นที่เหมือนที่พวกเราคุ้นเคย หากแต่หยุดตกแช่อยู่กับที่เป็นเวลานาน จึงทำให้ปริมาณน้ำฝนสะสมพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว แม้จะเพียงช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง เมืองที่เคยรับมือฝนหนักได้ก็แทบตั้งตัวไม่ทัน เพราะระบบระบายน้ำถูกออกแบบมาเพื่อรองรับฝนตามรูปแบบเดิม ไม่ใช่ฝนที่เทลงมาแบบต่อเนื่องโดยไม่ยอมขยับตำแหน่งเช่นนี้


ปัจจัยที่ทำให้ภาคใต้ต้องเผชิญสถานการณ์รุนแรงในปี 2568 มาจากหลายปัจจัย ทั้งมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่มีกำลังแรง จากอิทธิพลของลมหนาวกำลังแรงในช่วงนี้ที่บางส่วนลงทะเล ก็เลยทำให้มรสุมมีกำลังแรงขึ้น พัดพาเอาความชื้นจากทะเลเข้ามาด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมซึ่งก็คือ “หย่อมความกดอากาศต่ำ” ที่ปกคลุมแช่อยู่บริเวณภาคใต้ตอนล่างหลายวัน นอกจากนี้ในช่วงปลายปี 68 ยังได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์ “ลานีญา” ซึ่งทำให้อากาศมีความชื้นค่อนข้างสูง แถมอุณหภูมิของน้ำทะเลยังอุ่นขึ้นจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเมื่ออุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น ก็ทำให้น้ำระเหยมากขึ้น จนทำให้เกิดไอน้ำปริมาณมาก กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการผลิตเมฆฝนอย่างต่อเนื่อง


และ “หาดใหญ่” ซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาอยู่แล้ว ยิ่งเผชิญแรงกดดันมากขึ้น เพราะเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุน ทำให้น้ำระบายออกได้ช้ากว่าปกติ น้ำจากภูเขาและพื้นที่โดยรอบไหลลงมารวมกันใน “คลองอู่ตะเภา” ก่อนจะล้นทะลักเข้าพื้นที่เมืองอย่างรวดเร็ว ขณะที่การขยายตัวของเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้แทนที่พื้นที่เกษตร พื้นที่ป่าและพื้นที่ดูดซับน้ำ ทำให้น้ำผิวดินไหลแรงขึ้นและไปถึงตัวเมืองเร็วกว่าที่เคย

เมื่อฝนตกแช่ และไม่มีพื้นที่ดูดซับน้ำ ทำให้มวลน้ำจำนวนมากเทลงพื้นที่จุดเดียวในเวลาอันสั้น เมืองต่างๆ ก็เข้าสู่ภาวะที่ระบบท่อระบายน้ำไม่สามารถรับมือได้ทัน และเมื่อยิ่งมาเจอกับ “ระเบิดฝน” หรือ Rain Bomb ที่ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นแบบนาทีต่อนาทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ระบายหรือคาดการณ์ล่วงหน้าได้ทัน จึงทำให้เกิดวิกฤตน้ำท่วม ต้องสั่งอพยพ 100% ทั้งเมืองอย่างที่เห็น


บทเรียนสำคัญจากวิกฤตครั้งนี้คือ สภาพอากาศมันไม่เหมือนเดิมแล้ว และทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป เมืองใหญ่จำเป็นต้องเตรียมระบบเตือนภัย การอพยพ และแผนรองรับใหม่ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และอาจกลับมาได้ทุกเมื่อ


วิกฤตภาคใต้ปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์น้ำท่วมตามฤดูกาล แต่คือสัญญาณเตือนชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่สภาพอากาศสุดขั้วกลายเป็นเรื่องปกติ การเตรียมพร้อมและปรับตัวจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนมากกว่าที่เคยเป็นมา

ที่มาข้อมูล : TNN EARTH

ที่มารูปภาพ : Weerapong Narongkul